วอร์เรน บัฟเฟตต์รวยเพิ่ม แม้ตลาดหุ้นร่วงทั่วโลก จากผลกระทบมาตรการภาษี

วอร์เรน บัฟเฟตต์ Berkshire Hathaway
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในสถานที่จัดงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2024 ของ เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (ภาพโดย Scott Morgan/ REUTERS)

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็น 1 ใน 2 มหาเศรษฐีที่ความมั่งคั่งสุทธิยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2025 แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะร่วงเพราะมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์

บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ในบรรดามหาเศรษฐีด้วยกัน วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เป็นเพียงไม่กี่คนที่ความมั่งคั่งสุทธิยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2025 นี้ แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐจะกระตุ้นความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นทั่วโลก จนเกิดแรงเทขายหลายล้านล้านดอลลาร์ ด้วยการประกาศมาตรการภาษีครั้งใหญ่

อ้างอิงตามดัชนีอันดับมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก พบว่าความมั่งคั่งสุทธิของวอร์เรน บัฟเฟตต์เพิ้มขึ้น 11,500 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (ราว 399,900 ล้านบาท) รวมทั้งหมดเป็น 153,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.33 ล้านล้านบาท) แม้ว่าทรัพสินย์บางส่วนจะลดลงไปแล้ว 14,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 500,000 ล้านบาท) จากระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

ตามการจัดอันดับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 20 คนของบลูมเบิร์ก พบว่ามีมหาเศรษฐีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นในปีนี้ หนึ่งในนั้นคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในวัย 94 ปี และเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก

ส่วนอีกคนคือ ฟร็องซัวส์ เบตตองกูร์ต-เมแยร์ส (Francoise Bettencourt Meyers) ทายาทธุรกิจเครื่องสำอางชื่อดัง ลอรีอัล (L’Oreal) ซึ่งร่ำรวยเป็นอันดับที่ 19 ตามดัชนีของบลูมเบิร์ก ผู้ซึ่งมีความมั่งคั่งสุทธิเพิ่มขึ้น 1,800 ล้านดอลลาร์ (ราว 62,500 ล้านบาท)

ขณะที่มหาเศรษฐีรวยสุด 500 คนแรกของโลกสูญเสียความมั่งคั่งสุทธิรวมกันกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 17.36 ล้านล้านบาท) ตลอดการประกาศมาตรการภาษีทั้ง 2 ครั้งของทรัมป์

ADVERTISMENT

หุ้นของเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ (Berkshire Hathaway) บริษัทโฮลดิ้งของบัฟเฟตต์ร่วงลงกว่า 8.8% นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ร่วงลง 10.7%

สะท้อนให้เห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจประกันภัยยังคงมีผลประกอบการดีเยี่ยม ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลกที่ผันผวน

ADVERTISMENT

ช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา บัฟเฟต์ทยอยลดการถือหุ้นแอปเปิล (Apple) และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา (Bank of America) ลงเรื่อย ๆ ซึ่งหุ้นทั้งสองตัวมีราคาร่วงลงมากกว่าตัวเลขสองหลัก นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษี