‘คลองสุเอซ’ เปิดแล้ว แต่ปัญหาไม่จบ

ท่าเรือคลองสุเอซ (1)

เหตุการณ์เรือขนส่งสินค้า “เอเวอร์ กิเวน” (Ever Given) ของบริษัท “เอเวอร์กรีน” ขวางทางการเดินเรือคลองสุเอซ ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเส้นทางการเดินเรือสำคัญระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป ได้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการค้าไปทั่วโลก

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า แม้สถานการณ์จะคลี่คลายสามารถนำเรือยักษ์ขนาด 400 เมตร ออกจากบริเวณที่ขวางทาง และเส้นทางเดินเรือกลับมาสัญจรได้ตามปกติแล้ว แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้อาจเรื้อรังไปอีกหลายเดือน

รายงานข่าวระบุว่า 12% ของการค้าขายทั่วโลก ใช้การขนส่งผ่านคลองสุเอซ โดยในแต่ละวันมีเรือขนส่งสินค้าผ่านคลองสุเอซประมาณ 50 ลำ คิดเป็นมูลค่าสินค้า 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการขนส่งไปยุโรป 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และไปยังเอเชียและตะวันออกกลางอีก 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยเมื่อปี 2019 เรือขนส่งสินค้าสัญจรผ่านคลองมากกว่า 19,000 ลำ คิดเป็นน้ำหนักสินค้าเกือบ 1.25 พันล้านตัน

แม้ว่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์จะไม่ได้ขวางทางเดินเรือคลองสุเอซแล้ว แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ยังไม่สิ้นสุด นอกจากปัญหาสินค้าบนเรือขนส่งผ่านคลองสุเอซ จะเดินทางไปถึงจุดหมายอย่างล่าช้า ซึ่งมีตั้งแต่น้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG), ไบโอดีเซล ไปจนถึง ชิ้นส่วนรถยนต์, สัตว์มีชีวิต, กาแฟ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

ขณะที่เรือบางลำไม่รอให้สถานการณ์คลี่คลาย ได้เลือกใช้เส้นทางแล่นอ้อมทวีปแอฟริกา ผ่านแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มอีก 10 วัน

Advertisment

หน่วยงานบริหารจัดการคลองสุเอซ “สุเอซ คานาล ออโตริที” (SCA) ระบุว่า จะเร่งเคลียร์เรือที่ติดสะสมถึง 422 ลำ ภายใน 3 วัน โดยตัวเลขเรือค้างสะสมแท้จริงอาจมีมากกว่านี้

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า จะมีผลกระทบมากกว่าการขนส่งสินค้าที่ไปถึงจุดหมายล่าช้ากว่ากำหนด เพราะปัญหาที่ตามมาคือ ทำให้มีเรือขนส่งสินค้าติดค้างอยู่ตามท่าเรือจำนวนมาก

Advertisment

“เลนนาร์ท เวอร์สตาเปน” โฆษกหน่วยงานกำกับดูแลท่าเรือแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม เป็นท่าเรือใหญ่อันดับ 2 ในยุโรป กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีเรือมาจอดเทียบท่ารอขนส่งสินค้าจำนวนมาก ซึ่งทำให้ท่าเรือเกิดปัญหาความแออัดต่อเนื่องไปอีกหลายอาทิตย์ หรือหลายเดือน และไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าผลกระทบจะยาวนานอีกเท่าไร

“เหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อทั้งซัพพลายเชน ไม่ใช่แค่เรือที่เข้าเทียบท่า แต่เรือที่เดินทางออกจากท่าเรือด้วย เพราะท่าเรือแอนต์เวิร์ปไม่ได้เป็นแค่เพียงท่าเรือสำหรับนำเข้าสินค้า แต่ยังมีการส่งออกสินค้าด้วย” เวอร์สตาเปนกล่าว

โดยแหล่งข่าวระบุว่า ท่าเรือต้องมีการจัดการไม่ให้เรือ “แออัด” อย่างไม่เป็นระบบ เพราะจะทำการเดินเรือขนส่งสินค้าอื่น ๆ ได้รับผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ โดยจากเหตุการณ์นี้จะทำให้มีเรือจำนวนมากที่ไปแออัดอยู่ที่ท่าเรือแถบยุโรป รวมถึงท่าเรือแถบเอเชีย และตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกัน “แจน ฮอฟฟ์แมน” ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า องค์การสหประชาชาติระบุว่า ท่าเรือแถบยุโรปจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาจต้องใช้เวลาหลายเดือน กว่าที่จะสามารถจัดการปัญหากับการขนส่งสินค้าทางเรือที่ล่าช้าได้

“แอนดรูว์ คินซีย์” ที่ปรึกษาความเสี่ยงการส่งสินค้าทางเรือ บริษัทอไลแอนซ์ โกลบอล คอร์เปอเรต กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำลายซัพพลายเชนหลาย ๆ ส่วน โดยเฉพาะซัพพลายตู้คอนเทนเนอร์เปล่าที่ค่อนข้างขาดแคลนอยู่แล้วทั่วโลก เพราะเรือที่ติดค้างอยู่มีจำนวนมากที่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เปล่า เพื่อมาบรรทุกสินค้าใหม่อีกด้วย

นอกจากนี้ สินค้าอย่างเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตสินค้าตั้งแต่สมาร์ทโฟน เครื่องเล่นเกม ไปจนถึงรถยนต์ ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอยู่ตอนนี้ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าดังกล่าวก็อาจจะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น

โดย “วอลเตอร์ ชาลก้า” ซีอีโอบริษัท “ซูสาโน เอสเอ” ผู้ผลิตเยื่อไม้และกระดาษรายใหญ่ของโลกระบุว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทกำลังประสบปัญหาการนำเข้าวัสดุสำหรับการผลิตกระดาษทิสชู และมีแนวโน้มที่อาจจะขาดตลาดในอนาคตได้

คินซีย์ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบกับทุกภาคส่วนแน่นอน และต้องเฝ้าระวังถึงผลกระทบต่าง ๆ ในอนาคต เพราะเหตุการณ์นี้อาจจะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนข้างหน้า