ธุรกิจสหรัฐเจอโควิดหนัก เร่งปรับโมเดลการทำงาน

ถึงแม้ประชาชนสหรัฐจะฉีดวัคซีนเกินกว่า 70% ของประชากรแล้ว แต่สถานการณ์การระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก ได้ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจในสหรัฐต้องปรับโมเดลการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เหล่าบริษัทยักษ์เทคอย่าง “กูเกิล” และ “เฟซบุ๊ก” ได้ประกาศว่าพนักงานที่จะเข้าทำงานที่ออฟฟิศต้อง “ฉีดวัคซีน” ก่อน ขณะที่ “แอปเปิล” แถลงการณ์ว่าจะเลื่อนการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศออกไปจนถึงเดือนตุลาคม

ส่วนยักษ์อีคอมเมิร์ซ “อเมซอนดอตคอม” ก็ยืดระยะเวลาเวิร์กฟรอมโฮมออกไปถึง 3 มกราคมปีหน้า จากเดิมที่จะให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศวันที่ 7 กันยายนนี้ รวมถึงบังคับให้พนักงานที่จำเป็นต้องมาทำงานที่ออฟฟิศต้องสวมหน้ากากอนามัย ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ตาม หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกการบังคับพนักงานสวมหน้ากากอนามัยสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว

ขณะเดียวกันกลุ่มธุรกิจการเงินอย่าง “โกลด์แมน แซกส์” ออกมาตรการว่า พนักงานที่ยังไม่ฉีดวัคซีนต้องตรวจโควิดอยู่สม่ำเสมอก่อนเข้าออฟฟิศ รวมทั้ง “เจฟฟรีย์” บริษัทที่ปรึกษาการเงิน กำหนดให้พนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาทำงานในออฟฟิศได้ ส่วน “มอร์แกน สแตนลีย์” ไม่ให้พนักงานและลูกค้าทั้งหมดที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข้าออฟฟิศที่นิวยอร์ก

นอกจากนี้ ยักษ์ค้าปลีก “วอลมาร์ต” ออกมาตรการบังคับให้พนักงานฉีดวัคซีนก่อนวันที่ 4 ตุลาคม พร้อมกับแจกโบนัส 150 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับพนักงานที่ฉีดวัคซีนแล้ว ส่วน “ดิสนีย์” จะจ้างงานพนักงานใหม่ที่ฉีดวัคซีนครบโดสเท่านั้น ขณะที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง “เน็ตฟลิกซ์” บังคับให้ทุกคนในกองถ่าย ทั้งนักแสดงและทีมงานต้องฉีดวัคซีน และแพลตฟอร์มเรียกรถ “อูเบอร์” นอกจากบังคับฉีดวัคซีนและสวมแมสก์ยังเลื่อนการกลับมาทำงานออฟฟิศออกไปเป็นวันที่ 25 ตุลาคม

มาร์เก็ตวอตช์รายงานว่า ถึงแม้หลายบริษัทเร่งปรับตัวให้พนักงานยังคงเวิร์กฟรอมโฮมได้ อย่างไรก็ตาม เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ยังต้องการให้พนักงานกลับมาทำงาน หากสถานการณ์ดีขึ้น

รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุที่บริษัทยักษ์ใหญ่ยังคงอยากให้พนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ เนื่องจากก่อนหน้านี้หลายบริษัทอย่างอเมซอนดอตคอม, แอปเปิล และกูเกิล ได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ สำหรับ “แคมปัส” ที่มีอุปกรณ์เพียบพร้อมสำหรับการทำงาน รวมทั้งแต่ละบริษัทยังได้ลงทุนสร้างจุดบริการสวัสดิการต่าง ๆ อย่างเช่น ฟิตเนส ห้องพักผ่อน และสถานพยาบาล เป็นต้น เพื่อที่จะดึงดูดพนักงานให้มาทำงาน

แต่หลังโควิด-19 ระบาดสวัสดิการต่าง ๆ อาจไม่สามารถดึงดูดการมาทำงานที่ออฟฟิศได้ เมื่อเทียบกับความสะดวกสบายกับการทำงานที่บ้าน รวมถึงการที่ไม่ต้องเดินทาง

ขณะที่บริษัทสตาร์ตอัพ “ฉวยโอกาส” นี้ ยกเลิกแผนการมาทำงานที่ออฟฟิศ เพราะนอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเป็นการดึงดูดให้คนรุ่นใหม่มาร่วมงานกับบริษัท

เช่น “ทวิตเตอร์” ที่ปิดออฟฟิศที่นิวยอร์ก และซานฟรานซิสโก รวมถึงเบรกแผนการเปิดออฟฟิศที่เมืองอื่น ๆ แพลตฟอร์ม “ลิงด์อิน” ให้ทางเลือกพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ทุกวัน “เกรด วูค” ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทสื่อสาร “พิงเจอร์ อิงค์” กล่าวว่า บริษัทกำลังดึงตัวพนักงานจากบริษัทยักษ์เทค ที่จะบังคับให้พนักงานไปทำงานที่ออฟฟิศ โดยการเปิดโอกาสให้สามารถเวิร์กฟรอมโฮมได้ทุกวัน

ศูนย์วิจัยจากเบกเกอร์ ฟรีดแมน อินสทิทูท โฟร์ อีโคโนมิกส์ มหาวิทยาลัยชิคาโก รายงานว่า ชาวอเมริกันราว 4 ใน 10 ระบุว่า จะหางานใหม่ หากต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน ขณะที่อีกงานวิจัยจากบริษัท “เคทเทิล” ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเกี่ยวกับการทำงานระบุว่า จากการสอบถามพนักงานอเมริกันกลุ่ม “เจนแซด” 1,000 คน พบว่า มากกว่าครึ่งจะออกจากงานที่ทำอยู่ หากไม่สามารถเลือกได้ว่า จะสามารถทำงานได้จากที่ไหน