ราคาน้ำมันที่อยู่ในขาลงยาวนานเกือบ 2 ปี ทำให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน 14 ประเทศ (โอเปก) ที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นพี่ใหญ่ และเคยเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในตลาดน้ำมัน ประสบปัญหาอย่างหนักจากการที่รายได้ลดลงฮวบฮาบจนกระทบต่อฐานะการคลัง ปรับตัวแทบไม่ทัน จากที่เคยเป็นเสือนอนกินสบาย ๆ
โอเปกเคยผ่านความรุ่งเรืองสุดขีดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 จนถึงกลางปี ค.ศ. 2008 ซึ่งราคาน้ำมันเคยทะยานขึ้นไปแตะ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนและอินเดียมีความต้องการมากเพราะเศรษฐกิจเติบโตสูง แต่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในสหรัฐเมื่อปลายปี 2008 ราคาน้ำมันได้ดิ่งลงเหลือ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนจะดีดกลับมาสูงสุดที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังช่วงวิกฤตการเงิน
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
แต่กลางปี 2014 เป็นต้นไป ราคากลับทรุดลงไปอีก ไปแตะจุดต่ำสุด 29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อต้นปี 2016 ซึ่งคราวนี้เกิดจากสหรัฐอเมริกา ลูกค้ารายใหญ่ของโอเปก ค้นพบเทคโนโลยีใหม่ในการขุดเจาะน้ำมัน อันทำให้สามารถเจาะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) มาใช้ได้เป็นครั้งแรก พลิกสถานะจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ผลิตเอง เท่านั้นไม่พอ ยังยกระดับไปเป็นผู้ส่งออกอีกด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้น
โอเปกจึงแก้ปัญหาด้วยการปรับลดการผลิต ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว และขยายระยะเวลาการปรับลดออกไปเป็นระยะ เพื่อหวังดึงราคาขึ้นไป ซึ่งก็ได้ผลระดับหนึ่ง เพราะปัจจุบันราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวมาอยู่แถว ๆ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กลุ่มโอเปกยอมรับว่า ในอีกหลายปีข้างหน้า น้ำมันเชลออยล์ของสหรัฐจะเป็นผู้ครอบงำตลาด โดยคาดว่าสหรัฐจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 3.8 ล้านบาร์เรลต่อวันไปจนถึงปี 2022 คิดเป็น 75% ของปริมาณที่ผลิตโดยกลุ่มประเทศนอกโอเปก หรือเทียบเท่า1 ใน 3 ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก
แต่โอเปกเชื่อว่าน้ำมันเชลออยล์ ทั้งจากสหรัฐ แคนาดา และรัสเซีย จะถึงจุดสูงสุดในปี 2025 แต่หลังจากนั้นจะแผ่วลง และก็เป็นโอกาสของโอเปกที่จะเพิ่มปริมาณการผลิต ทั้งนี้ สาเหตุที่โอเปกคาดว่าเชลออยล์จะแผ่วลง เพราะผู้ประกอบการได้เร่งขุดเจาะในแหล่งน้ำมันชั้นเยี่ยมระดับหัวกะทิในระยะแรกด้วยต้นทุนถูกไปหมดแล้ว
โอเปกระบุว่า ปกติแล้วเชลออยล์จะให้ปริมาณน้ำมันมากในระยะแรก แต่หลังจากนั้นจะลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้การขุดครั้งต่อไปจะได้น้ำมันน้อยลงและต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้โอเปกเพิ่มกำลังการผลิตไปสู่ระดับ 41.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากที่ชะงักอยู่ในระดับ 33 ล้านบาร์เรลมานาน
ทางด้านนักวิเคราะห์อย่าง ไมค์ วิตต์เนอร์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดน้ำมันของโซซิเอเต เจเนอราล ในนิวยอร์ก เห็นว่า ความพยายามของโอเปกในการลดปริมาณส่วนเกินในตลาดลงเพื่อดันราคาขึ้น ถือว่าได้ผลและเป็นทิศทางที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตามโอเปกก็จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ย้อนแย้ง แก้ไม่ตก เพราะถ้าหากโอเปกยิ่งประสบความสำเร็จในการดันราคาขึ้น ก็จะยิ่งจูงใจให้บริษัทเอกชนสหรัฐและคู่แข่งอื่น ๆ ของโอเปกทำการขุดเจาะเชลออยล์ คาดว่าการผลิตเชลออยล์ของสหรัฐในปีหน้าจะมีปริมาณมากพอที่จะชดเชยปริมาณที่โอเปกลดลงไปได้ ทำให้ภาวะอุปทานล้นเกินยังคงอยู่ในระดับเดิม เท่ากับว่าการลดของโอเปกไม่มีผลในการดึงน้ำมันออกจากตลาด
“แทนที่จะสามารถประกาศชัยชนะในปีหน้าและกลับไปเพิ่มกำลังการผลิต โอเปกอาจพบว่าตัวเองติดอยู่ในกับดักที่ทำให้ต้องดิ้นรนอย่างไม่สิ้นสุด ตอนนี้โอเปกอยู่ในกับดักนั้นแล้ว ผมยังมองไม่เห็นว่าพวกเขาจะหาทางออกได้อย่างไร” วิตต์เนอร์ระบุ
ส่วน แอนดี้ ฮอลล์ นักค้าน้ำมันดิบผู้มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับเชิญจากเจ้าหน้าที่โอเปกให้ไปช่วยสรุปและประเมินแนวโน้มของเชลออยล์บอกว่า เชลออยล์คาดหมายได้ยาก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจปิดกองทุนเฮดจ์ฟันด์ไปแล้วในปีนี้ แต่ตามการประเมินของเขาเชื่อว่า ปริมาณเชลออยล์ปีหน้าจะแปรปรวนมาก ระหว่าง 5 แสนบาร์เรล ไปจนถึง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน