หากรัสเซียตัดการส่งออกน้ำมันและก๊าซ จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก หลังรัสเซียตัดการส่งออกน้ำมันและก๊าซ
FILE PHOTO: REUTERS/Dado Ruvic/Illustration

จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก หากรัสเซียตัดการส่งออกน้ำมันและก๊าซ ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในตะวันตก จะพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์หรือไม่ ? 

วันที่ 9 มีนาคม 2565 บีบีซี รายงานว่า หลังจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ประกาศจำกัดการนำเข้าน้ำมันของรัสเซีย หลังจากรัสเซียเตือนว่าอาจตัดการจ่ายก๊าซไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป หากมีการแบนน้ำมันเกิดขึ้น

การคว่ำบาตรน้ำมัน-ก๊าซของรัสเซีย

สหรัฐได้ประกาศห้ามการนำเข้าน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินจากรัสเซียโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ยูเครนเรียกร้องให้ขยายมาตรการคว่ำบาตร ด้านสหราชอาณาจักรจะเลิกใช้น้ำมันรัสเซียภายในสิ้นปีนี้ ส่วนสหภาพยุโรปกำลังลดการนำเข้าลงสองในสาม รัฐบาลสหราชอาณาจักรกล่าวว่าการทำเช่นนี้ช่วยให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการหาแหล่งน้ำมันทางเลือก

ขณะที่ “อเล็กซานเดอร์ โนวัค” รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย กล่าวว่า การปฏิเสธน้ำมันของรัสเซียจะนำไปสู่ ​​”ผลร้ายต่อตลาดโลก” ราคาน้ำมันและก๊าซจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจเพิ่มขึ้นอีกหากรัสเซียหยุดการส่งออก

ปริมาณการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย

รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย โดยส่งออกน้ำมันดิบประมาณห้าล้านบาร์เรลในแต่ละวัน ซึ่งปริมาณมากกว่าครึ่งถูกส่งไปยังยุโรป ทั้งนี้ สหรัฐนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียประมาณ 3% ในปี 2563

แหล่งน้ำมันอื่น ๆ

“เบน แมควิลเลียมส์” กล่าวว่า การหาผู้จำหน่ายน้ำมันทางเลือกน่าจะง่าย เนื่องจากท่อส่งน้ำมันมีไม่มากนัก แถมบางส่วนยังมาจากรัสเซีย แต่ก็มีการขนส่งจำนวนมากที่มาจากที่อื่น”

ทางสหรัฐได้ขอให้ซาอุดีอาระเบียเพิ่มการผลิตน้ำมัน แต่พวกเขาปฏิเสธคำขอก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯที่ให้เพิ่มการผลิตน้ำมันเพื่อลดราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรน้ำมัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของน้ำมันดิบที่ซื้อขายระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ โอเปกจึงมีบทบาทสำคัญและอิทธิพลในราคาน้ำมัน

รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่มโอเปกแต่ได้ทำงานร่วมกับโอเปกมาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อจำกัดการผลิตน้ำมัน เพื่อเป็นการรักษารายได้ให้กับผู้ผลิต

อีกทั้งสหรัฐกำลังมองหามาตรการคว่ำบาตรน้ำมันของเวเนซุเอลาด้วยเช่นกัน ซึ่งเคยเป็นผู้จัดจำหน่ายน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐ จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ เวเนซุเอลาได้ขายน้ำมันให้กับจีนเป็นส่วนใหญ่

หากรัสเซียหยุดส่งก๊าซให้ยุโรปตะวันตก

ราคาจะแพงขึ้น จากปกติที่แพงอยู่แล้วจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะก๊าซรัสเซียคิดเป็น 40% ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติของสหภาพยุโรป และหากการส่งออกหยุดลง อิตาลี และ เยอรมนี จะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ

ในขณะที่ยุโรปอาจหันไปหาผู้ส่งออกก๊าซที่มีอยู่ เช่น กาตาร์ หรือแอลจีเรียและไนจีเรีย แต่ก็มีอุปสรรคในทางปฏิบัติเรื่องการขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ รัสเซียจัดหาก๊าซเพียง 5% ของแหล่งจ่ายก๊าซสหราชอาณาจักร และสหรัฐไม่ได้นำเข้าก๊าซของรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ราคาในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกายังคงเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากผลกระทบจากการขาดแคลนอุปทาน

ทางเลือกอื่นแทนที่ก๊าซรัสเซีย

ไม่ง่ายนักที่จะหาทางเลือกอื่นแทนก๊าซรัสเซีย

แมควิลเลียมส์ นักวิเคราะห์ด้านนโยบายพลังงานกล่าวว่า “การเปลี่ยนผู้จัดส่งก๊าซทำได้ยากกว่าเพราะเรามีท่อขนาดใหญ่เหล่านี้ซึ่งกำลังขนส่งก๊าซของรัสเซียไปยังยุโรป

Bruegel บริษัทวิจัยเชิงนโยบายเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ คาดการณ์ว่าหากรัสเซียหยุดส่งก๊าซไปยังยุโรป ยุโรปก็อาจพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐมากขึ้น

นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มการใช้แหล่งพลังงานอื่น ๆ ได้ แต่การทำเช่นนั้นไม่ง่ายหรือรวดเร็วนัก

นักวิเคราะห์งานวิจัย “Simone Tagliapietra” กล่าวว่า “พลังงานหมุนเวียนต้องใช้เวลาในการเปิดตัว ดังนั้นในระยะสั้น นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ดังนั้น สำหรับฤดูหนาวหน้า สิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างได้คือการเปลี่ยนเชื้อเพลิง เช่น การเปิดโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากอิตาลีและเยอรมนีมีแผนจะทำหากเกิดกรณีฉุกเฉิน”

สหภาพยุโรปได้เสนอแผนเพื่อให้ยุโรปเป็นอิสระจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซียก่อนปี 2573 ซึ่งรวมถึงมาตรการในการกระจายแหล่งจ่ายก๊าซและแทนที่ก๊าซในการผลิตความร้อนและพลังงาน

จะเกิดอะไรขึ้นกับค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค

ผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากสงครามครั้งนี้

ในสหราชอาณาจักร ค่าพลังงานในครัวเรือนจะถูกควบคุมจากการกำหนดวงเงินราคาพลังงานสูงสุด

แต่ใบแจ้งค่าใช้จ่าย วงเงินจะเพิ่มขึ้นจาก 700 ปอนด์ (ประมาณ 30,000 บาท) เป็นประมาณ 2,000 ปอนด์ (ประมาณ 87,000 บาท) ในเดือนเมษายน แต่พวกเขาคาดว่าจะถึง 3,000 ปอนด์ (ประมาณ 130,000 บาท) เมื่อขยายเพดานอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วงนี้

ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในสหราชอาณาจักรก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน และคาดว่าน้ำมันเบนซินจะสูงถึง 175 ต่อลิตรในขณะที่สงครามยังคงดำเนินต่อไป

ส่วนในสหรัฐอเมริกา ค่าน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551 โดยสมาคมยานยนต์อเมริกัน (American Automobile Association) ระบุว่าราคาในปั๊มน้ำมันพุ่งขึ้น 11% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

แมควิลเลียมส์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าถ้าเราอยู่ในโลกที่น้ำมันและก๊าซของรัสเซียหยุดส่งไปยังยุโรป เราจำเป็นต้องมีมาตรการในรูปแบบการปันส่วน”

“ส่วนหนึ่งของแผนตอนนี้คือ เราสามารถบอกให้ครัวเรือนต่าง ๆ ลดอุณหภูมิเครื่องทำความร้อนของพวกเขาลง 1 องศา ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันจำนวนมาก”