มีแต่ลบกับลบ ตั้งแต่บอนด์ไปถึงบิตคอยน์ นักลงทุนวอลล์สตรีทเรียกภาวการณ์นี้ว่า ตลาดหมี ที่เข้าสู่การจำศีลต่อเนื่องยาวนาน พร้อมกับคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่รามือที่จะใช้ยาแรงคุมเงินเฟ้อ
วันที่ 14 มิถุนายน 2565 สำนักข่าว เอพี รายงานว่า สถานการณ์ซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท สหรัฐอเมริกา ดิ่งเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า bear market หรือตลาดหมี เป็นภาวะตลาดที่ดัชนีหลักทรัพย์และราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจากปัจจัยลบรอบด้าน
หลังผ่านพ้นช่วงสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยข่าวว่าสถานการณ์เงินเฟ้อจะเลวร้ายลงอย่างที่มองไม่เห็นว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร ดัชนี S&P 500 เปิดตัวสัปดาห์ใหม่เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มิ.ย. ดิ่งลง 151.23 จุดไปอยู่ที่ 3,749.63 จุด คิดเป็นลดลง 3.9% ส่วนดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลงไปมากกว่า 1,000 จุด ก่อนปิดที่ติดลบ 876 จุด
จนถึงวันนี้ ดัชนี S&P 500 ลดลงไปมากกว่า 21.8% ต่ำว่าสถิติเมื่อต้นปีนี้ และทำให้นักลงทุนเรียกสภาพการณ์นี้ว่า ตลาดหมี ซึ่งเปรียบเปรยกับช่วงเวลาที่หมีจำศีลในช่วงหน้าหนาว เป็นภาวะที่ตรงข้ามกับ bull market หรือตลาดกระทิง ที่พุ่งสูงขึ้นเหมือนกระทิงไล่ขวิด
ด้านการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี ที่เคยทะยานในช่วงสถานการณ์โควิดกลายเป็นการลงทุนที่เสี่ยงที่สุดในยามนี้ Coindesk รายงานว่า บิตคอยน์ดิ่งลงมากกว่า 14% จากวันก่อนหน้า และลดลงน้อยกว่า 23,400 ดอลลาร์ เทียบกับช่วงพีกของปีก่อนที่เคยมีราคาสูงถึง 68,990 ดอลลาร์
การเทขายหุ้นอีกครั้งของนักลงทุนมาจากปัจจัยหลักที่ธนาคารกลาง หรือ เฟด พยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้ออย่างร้อนรน โดยใช้การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอเศรษฐกิจเป็นวิธีการหลัก ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหากใช้อย่างแข็งกร้าวเกินไป
ด้วยท่าทีของเฟดที่จะคุมเงินเฟ้ออย่างแข็งกร้าวขึ้นอีก ทำให้ราคาตลาดหุ้นดิ่งลงทั่วโลก และดิ่งครอบคลุมตั้งแต่พันธบัตรไปถึงบิตคอยน์ จากนิวยอร์กไปถึงนิวซีแลนด์
หุ้นบางตัวร่วงอย่างแรงมากทั้งที่เคยเป็นตัวที่สดใสมาก่อน ไม่ว่า กลุ่มเทคโนโลยีที่เคยเติบโตสูง หรือตัวที่เคยเป็นขวัญใจนักลงทุน อย่าง เทสลาดิ่งไปแล้ว 7.1% แอมะซอนร่วง 5.5% และเกมช็อป ตกไป 8.4%
“สิ่งที่ดีที่สุดที่คนทำได้ตอนนี้คืออย่าตื่นตระหนก และอย่าขายจนถึงจุดต่ำสุด เพราะบางทีตอนนี้เรายังไปไม่ถึงจุดที่ต่ำที่สุด” แรนดี เฟรเดอริก ผู้จัดการทั่วไปของชวาบ เซ็นเตอร์ ศูนย์วิจัยทางการเงิน กล่าว
นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่า เฟดจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยวันพุธที่ 15 มิ.ย. นี้เป็นรอบหลัก 0.75% ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าการขึ้นปกติสามเท่า และไม่เคยทำมาเลยนับจากปี 2537 (ค.ศ.1994)
จากข้อมูลของ CME Group นักลงทุนมองว่า อัตราเงินเฟ้อเพิ่มจากสัปดาห์ก่อนถึง 3% ดังนั้นไม่มีใครคิดว่าเฟดจะยอมรามือ หากตลาดยังเผชิญเงินเฟ้อที่มากกว่าปกติแบบนี้ ซึ่งที่สุดแล้วจะส่งสัญญาณที่ไม่ให้กำลังใจเลยกับเศรษฐกิจหรือกำไรของบริษัท ในที่นี้รวมถึงราคาสินค้าผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ เป็นเรื่องยากในการคาดเดาว่าตลาดหมีจะสิ้นสุดลงเมื่อใดและจะถึงราคาต่ำสุดเมื่อใด เนื่องจากปัจจัยภายนอกมากมาย เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก การเติบโตของเศรษฐกิจ และจิตวิทยาของนักลงทุน