
หากลองหลับตาแล้วนึกย้อนถึงวัยเด็ก ชั่วโมงศิลปะมักเป็นช่วงเวลาที่เราเฝ้ารอคอย เพราะความสนุกไม่ได้อยู่แค่ในภาพวาดที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ แต่ยังซ่อนอยู่บนสีที่เปื้อนตามเสื้อผ้า และเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมห้อง ทั้งหมดคือหลักฐานของความสุขที่ยังอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ภายในใจของใครหลายคน แต่เมื่อเติบโตขึ้น หลายคนอาจค่อยๆ ปล่อยมือจากพู่กัน ปล่อยให้จินตนาการหล่นหายไปตามกาลเวลา และมอง ‘ศิลปะ’ ว่าเป็นสิ่งไกลตัว ฟุ่มเฟือย หรือเป็นเพียงของตกแต่งที่เอาไว้ชื่นชมยามว่าง
ทว่าในความเป็นจริง ศิลปะได้ก้าวข้ามบทบาทแห่งความงาม มาสู่บทบาทใหม่ เป็นเครื่องมือเพื่อการเยียวยาใจ ในยุคที่ความเครียด วิตกกังวล และภาวะทางอารมณ์แฝงตัวอยู่ในชีวิตประจำวัน ศิลปะกลับกลายเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เป็นภาษาที่ไม่ต้องใช้คำพูด และเป็นพลังอ่อนโยนที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพใจอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วยคลายความเศร้า ผ่อนคลายความตึงเครียด และคืนความสมดุลให้กับทั้งกายและใจ พร้อมให้เราเดินกลับเข้าไปพักพิงได้เสมอ ไม่ว่าจะในวัยใดหรือช่วงเวลาใดของชีวิต
ในวันที่เราเริ่มกลับมาฟังเสียงของหัวใจ ศิลปะอาจเป็นภาษาหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ชวนสำรวจพื้นที่ในใจ ที่เต็มไปด้วยสีสัน ความทรงจำ และความอ่อนโยน ผ่านบทสนทนากับ ฟ้าใส ชิตวัน หรือที่รู้จักในนามปากกา blueciiel กราฟิกดีไซเนอร์และนักวาดภาพประกอบ เจ้าของลายเส้นที่หลายคนคุ้นตา ทั้งจากงานออกแบบปกหนังสือ ภาพประกอบในงานแบรนด์ดิ้ง และล่าสุดกับโปสเตอร์งาน ‘Thailand Healthc Care 2025 : A Better Life สร้างสุขทุกช่วงวัย’
เมื่อใกล้ชิดกับดวงตะวัน จึงเป็นวันที่ฟ้าใส
ฟ้าใส เล่าว่า หากเปรียบสิ่งที่ชอบโดยมีความสุขเป็นตัวชี้วัด เด็กหญิงชิตวันก็คงหลงรักการวาดภาพตั้นแต่เริ่มจับดินสอได้ แต่ด้วยวัยที่มองทุกอย่างบนโลกด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น จึงอาจมองว่าการขีดเขียนลงกระดาษพวกนี้ก็ไม่ได้สร้างความเพลิดเพลินให้เธอมากว่ากิจกรรมอื่น ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเธอได้พบกับหนังสือการ์ตูนเก่าของคุณแม่ในวัยเด็ก แม้ตอนนั้นจะยังไม่เข้าใจในการดำเนินเรื่องราว แต่ก็รับรู้ถึงความสวยงามที่อยากไปให้ถึง และนั่นคือช่วงเวลาที่เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มรู้ตัวว่าชอบวาดรูปอย่างจริงจัง
ในเวลาต่อมา ความมั่นใจในพรสวรรค์แห่งศิลปะก็ขยายตัวขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ฟ้าใสและรุ่นพี่ละแวกบ้านได้ลองวาดรูปเล่นจากตัวการ์ตูนที่เพิ่งดูจบไป ขณะนั้นเธอพบว่าสามารถวาดภาพออกมาคล้ายกับต้นฉบับมาก แม้จะอายุน้อยกว่าเขาหลายปี ความคิดในวันนั้นสะท้อนเสียงดังออกมาว่า เธออาจมีฝีมือในการวาดภาพ เมื่อก้าวเข้าสู่มัธยมฯ ต้น blueciiel จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ฟ้าใสอธิบายถึงชื่อ ‘blueciiel’ ว่า มีที่มาจากชื่อ ‘ฟ้าใส ชิตวัน’ ที่พ่อและแม่เป็นผู้มอบให้ โดยมีความหมายที่สอดคล้องกัน คือ เมื่อใกล้ชิดกับดวงตะวัน จึงเป็นวันที่ฟ้าใส หลังจากนั้นไปเจอคำว่า ‘ciel (ซี-เอล)’ ซึ่งมีความหมายว่าท้องฟ้า ในภาษาฝรั่งเศส เธอมองว่าคำนี้ไพเราะและถูกใจ จึงรวมเข้ากับ blue และกลายเป็น blueciiel ที่มีความหมายว่า ท้องฟ้าสีคราม หรือ ฟ้าใส ตามชื่อเล่นของเธอนั่นเอง
“ครั้งแรกที่คิดชื่อนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็ชอบมาก หลังจากนั้นก็ใช้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่มัธยมฯ ต้น จนกลายเป็นความเคยชิน ไม่ได้ต่างไปจากชื่อจริงหรือชื่อเล่น”
เมื่อลายเส้นเติบโตพร้อมประสบการณ์
หลังจากความรักในการวาดภาพของฟ้าใสพรั่งพรูมากขึ้น ผนวกกับได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือการ์ตูน ในช่วงมัธยมฯ ต้น เธอจึงเริ่มผลิตผลงานแฟนอาร์ตออกมา ลายเส้นส่วนใหญ่เป็นแนวการ์ตูนตาหวาน ภาพตัวละครน่ารักๆ จนเริ่มมีคนเข้ามาติดตามผลงานมากขึ้น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปะของ ‘blueciiel’
แต่เมื่อได้เข้าเรียนกราฟิกดีไซน์ รูปแบบการวาดภาพจึงเปลี่ยนแปลงไป โดยคำนึงถึงการนำไปใช้ต่อมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีในวงการศิลปะ ก็ได้เปิดประตูรับฟ้าใสเข้าสู่โลกของงานภาพสไตล์เอเชียนอย่างเต็มตัว โดยเป็นศิลปะที่มีความอ่อนโยน ละเอียดลึกซึ้ง เต็มไปด้วยอารมณ์บางเบา และรวมเข้ากับอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ที่เธอสนใจ เช่น มังงะ นิทานเด็ก งานออกแบบกราฟิก ส่วนผสมเหล่านี้จึงเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ทำให้เธอกลายเป็น blueciiel อย่างเช่นทุกวันนี้
“สื่อที่เราเสพเป็นเหมือนสารตั้งต้นที่ทำให้เรามีเรื่องอยากจะเล่า ทั้งเรื่องของสไตล์อาร์ต ภาพยนตร์ เพลง การวาดภาพ และการเขียนหนังสือเองก็ถือเป็นการพูดหรือเล่าเรื่องแบบหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการวาด” ฟ้าใสอธิบาย
ความรู้สึกบางเบา เยียวยาหัวใจ
ในโลกของฟ้าใส รายละเอียดเล็กๆ ในชีวิตประจำวันไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย แต่คือหัวใจของการเล่าเรื่องผ่านภาพวาดที่ดูเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก เธอบันทึกเสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ในแต่ละฤดู ปฏิสัมพันธ์ของใครบางคน หรือพฤติกรรมแสนธรรมดาที่สะท้อนถึงช่วงเวลาพิเศษ เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่เธอเลือกวาดด้วยความใส่ใจ เพื่อสื่อถึงความธรรมดาที่อบอุ่น
สิ่งที่น่าสนใจคือ แต่ละภาพจะสะท้อนมุมมองที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยที่กำลังเติบโต วัยรุ่นที่ค้นหาตัวเอง หรือผู้สูงวัยที่ใช้ชีวิตในจังหวะเนิบช้า เพื่อให้เห็นถึงความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวัย ในแต่ละวัน ดังนั้น งานของฟ้าใสจึงไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์อบอุ่น บรรยากาศที่แสนธรรมดากลับดูมีชีวิต มีความหมาย ชวนให้ผู้ชมรู้สึกว่าความสุขอาจอยู่ไม่ไกลเกินไปนัก และสะท้อนชีวิตของใครบางคนในช่วงวัยใดช่วงวัยหนึ่ง ส่งผลให้ผลงานของเธอสามารถเข้าถึงผู้คนได้ในหลายช่วงวัย
ยิ่งกว่านั้น ภาพของเธอยังช่วยปลอบโยน บำรุงใจ และชวนให้คนที่สัมผัสได้กลับมาใช้เวลากับตัวเองหรือกับคนที่รัก อีกทั้งสิ่งที่เธอถ่ายทอดผ่านเส้นสายสีสันไม่ได้พูดถึงแค่สุขภาพใจ หากแต่ยังขยายไปถึงสุขภาพกาย เพราะเมื่อใช้ชีวิตด้วยความสุขและความใส่ใจ สิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลต่อร่างกายเช่นกัน
“สุุขภาพกายและสุขภาพใจ สองอย่างนี้สัมพันธ์กัน ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าควรรักษาสุขภาพให้ดี และหลายๆ คนก็รู้วิธีว่าต้องทำยังไง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะเรามีเรื่องอื่นในชีวิตที่ต้องทำอีกเยอะ อาจจะรู้สึกว่าการรักษาสุขภาพเป็นอีกหนึ่งงานในชีวิตประจำวัน เลยอยากสร้างงานศิลปะที่เน้นการเล่าถึงผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะอยากให้ทุกคนเห็นแล้วจินตนาการได้ว่า เราอยากมีชีวิตแบบไหน แทนการบอกว่าต้องทำยังไงถึงจะสุขภาพดี”
วาดเพื่อเล่า วาดเพื่อเยียวยา ทั้งกายและใจ
หลังจากเผยที่มาและเส้นทางศิลปะของ ‘blueciiel’ แล้ว เธอยังเผยแนวคิดที่น่าสนใจของศิลปะว่า ศิลปะและสุขภาพสามารถเดินไปด้วยกันได้ โดยเฉพาะในแง่มุมของสุขภาพจิต หลายคนใช้ศิลปะเป็นรูปแบบของการบำบัด ในขณะที่ศิลปินอย่างเธอเองก็ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารและการเยียวยา พร้อมย้ำว่าความสุขไม่จำกัดอยู่แค่ในผลงานศิลปะที่เธอสร้างสรรค์ แต่อยู่ในทุกกิจกรรมเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตเบาสบายและเต็มไปด้วยความหมาย
อย่างหนึ่งที่ฟ้าใสรับรู้เมื่ออายุมากขึ้น คือ เห็นได้ชัดว่าร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวช้าลง ความเหนื่อยสะสมเร็วขึ้น การตรวจสุขภาพประจำปีจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าร่างกายต้องการการดูแลตรงไหน ซึ่งการรับรู้เหล่านี้ทำให้เธอเข้าใจว่า สุขภาพที่ดีไม่ใช่เรื่องของโชค แต่มาจากการใส่ใจสะสมทีละน้อยในระยะยาว
ขณะเดียวกัน เธอก็ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายควบคู่ไปด้วย กิจกรรมที่เธอเลือกคือ โยคะ เพราะเป็นกิจกรรมที่ได้ทั้งความแข็งแรง ความสงบ และรู้สึกเหมือนได้คืนสมดุลทั้งกาย-ใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากได้ลองเล่นกีฬาแบดมินตันกับเพื่อนๆ เธอพบว่าสิ่งนี้ก็ช่วยเติมความสนุกเล็กๆ ให้กับชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ตารางในแต่ละวันจะดูแน่นขึ้น แต่ความรู้สึกตึงเครียดกลับลดลง การได้ออกแรงในบรรยากาศสบายๆ กับคนสนิท จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย และเป็นพลังงานบวกที่หล่อเลี้ยงร่างกายอย่างกลมกลืน
“หลังจากที่ได้ใช้เวลาไปตีแบดกับเพื่อน ก็คิดว่ามันทำให้เป็นเรื่องสนุกได้ จริงๆ แล้วการดูแลสุขภาพ มันทำให้ง่ายขึ้นได้ โดยการทำให้เป็นการใช้ช่วงเวลาที่มีความหมาย (quality time) กับคนที่เราแคร์ก็ได้”
‘ชีวิตที่ดี’ ไอเดียการวาดภาพในงาน Thailand Healthcare 2025
ฟ้าใสยังมองว่า การวาดภาพไม่ใช่แค่เรื่องของฝีมือหรือความฝัน แต่มันคือพื้นที่ส่วนตัวที่เปิดให้เธอได้กลับมาอยู่กับตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่หัวใจได้พัก หายใจลึก และค่อยๆ กลับมาโฟกัสกับปัจจุบันอีกครั้ง ความสุขจากการวาดไม่จำเป็นต้องมาจากผลงานที่สมบูรณ์แบบ แต่เกิดจากความเรียบง่ายของการได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งที่รัก
แนวคิดนี้เองที่สอดคล้องกับงาน Thailand Healthcare 2025 ที่ปีนี้มาในธีม “A Better Life : สร้างสุขทุกช่วงวัย” และทันทีที่ได้ยินหัวข้อนี้ สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของฟ้าใสคือคำว่า ‘ชีวิตที่ดี’ ซึ่งเป็นคำที่หลายคนมักพูดถึงเมื่อใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง แล้วได้เริ่มมองย้อนกลับไป เพราะว่าชีวิตที่ดีอาจไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนนัก หมายถึงเพียงแค่การมีคนที่เรารักอยู่รอบตัว มีครอบครัว มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง แต่เมื่อมองลึกลงไป จะเห็นว่าสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้ได้มาโดยง่าย และยิ่งยากที่จะรักษาไว้ได้อย่างยั่งยืน
และเพื่อถ่ายทอดแนวคิดนี้ให้เข้าถึงใจคนทุกกลุ่ม ฟ้าใสในฐานะศิลปินผู้เชื่อมโยงศิลปะกับสุขภาพ ยังได้ร่วมออกแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์หลักของงานในปีนี้อีกด้วย โดยนำลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอมาผสมผสานกับสัญลักษณ์ของการดูแลสุขภาพในมิติที่หลากหลาย กลายเป็นภาพที่ไม่เพียงสื่อสารข้อมูล แต่ยังชวนให้รู้สึกอบอุ่นและเข้าใจว่า ‘ชีวิตที่ดี’ นั้น เริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ รอบตัวทุกคน
ชวนใช้ชีวิตดีๆ ที่ดูแลทั้งกายและใจ
ฟ้าใส ทิ้งท้ายว่า การได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มเกิดความสนใจในการดูแลสุขภาพผ่านผลงาน ก็เป็นความดีใจ ขณะที่เริ่มทำงานหรือหลังจากงานจบไปแล้ว ก็มักจะจินตนาการถึงภาพเป้าหมายไว้แต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งถ้าทุกคนได้มีเวลาที่ดีหรือสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากเห็นผลงานของเรา เราก็มีความสุขมากๆ
สำหรับผลงานของฟ้าใสในฐานะศิลปินผู้เชื่อมโยงศิลปะกับสุขภาพ ยังถูกออกแบบให้เป็นของที่ระลึกเพื่อจำหน่ายภายในงาน เช่น กระเป๋าใส่กล่องยา กระเป๋าใส่แว่นตา กระเป๋าโทท ฯลฯ โดยรายได้จะนำไปมอบให้แก่สาธารณกุศล
มาร่วมเติมเต็ม “ชีวิตที่ดี” ในงาน Thailand Healthcare 2025 “A Better Life : สร้างสุขทุกช่วงวัย” งานที่รวบรวมบริการตรวจและดูแลสุขภาพหลากหลายไว้ครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือกิจกรรมเพื่อสุขภาพกายและใจ ที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ พบกันวันที่ 26 – 29 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ลงสถานีสามย่าน ทางออก 2