ผู้หญิงถูกคนรักฆาตกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี และผู้ชายแบบไหนที่ตัดสินใจฆ่าคนรัก

หนุ่มไทยหึงหวงสาวที่ตนเองแอบคบหา ฆ่าหั่นศพฝังกลบดิน อาวุธนำทิ้งคลอง พอถูกจับได้ก็สารภาพทุกข้อกล่าวหา ชี้ วางแผนมานานหลายเดือนแล้ว คดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในไทยนี้ เป็นเพียงหนึ่งในเหตุสะเทือนขวัญการฆาตกรรมแฟนหญิงที่นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นทั่วโลก

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2565 นายชาญวิทย์ วงศ์สหาก หรือ ดอน วัย 35 ปี ใช้อาวุธทั้งมีด ขวาน และเลื่อย ชำแหละศพแฟนสาว นางสาวอรนันท์ นราทร หรือ พิณ อายุ 30 ปี ออกเป็น 7 ชิ้นส่วนในห้องเช่าที่ทั้งคู่อาศัยอยู่ร่วมกัน ก่อนนำไปฝังใต้ทางด่วนฉลองรัช ย่านลาดพร้าว ก่อนที่นายชาญวิทย์ จะนำอาวุธและของใช้ผู้ตายไปทิ้งคลองบางขวด

ชิ้นส่วนหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรม ฝังกลบดินใต้ทางด่วนย่านลาดพร้าว

ที่มาของภาพ, Police TV

นายชาญวิทย์ รับสารภาพว่า ใช้อาวุธมีดสังหาร น.ส.อรนันท์ จริง และระบุว่า ตนเองมีภรรยาอยู่แล้ว แต่แอบมาคบกับผู้ตาย แต่เมื่อผู้ตายตีตัวออกห่าง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ติดต่อกัน ทำให้เกิดความหึงหวง และวางแผน “ฆ่าหั่นศพ” ล่วงหน้ามาแล้วนาน 3 เดือน โดยเตรียมขุดหลุมฝังศพล่วงหน้า 1 เดือน

ตำรวจจึงดำเนินคดีในข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” และ “ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย”

ADVERTISMENT

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มองว่า คดีนี้ปิดได้โดยเร็ว และจากการพูดคุยกับผู้ต้องหา ยืนยันว่าสภาพจิตใจปกติ ไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต

ผู้หญิงเกือบครึ่งแสนตายด้วยเงื้อมมือคนรัก

สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นโอดีซี เปิดเผยในรายงานว่าด้วย “การฆาตกรรมผู้หญิงและเด็กหญิงโดยคู่รัก และสมาชิกในครอบครัว” ว่าในปี 2563 มีผู้หญิงและเด็กหญิงถึง 81,000 คน ที่ถูกฆาตกรรม

ADVERTISMENT
พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มองว่า คดีนี้ปิดได้โดยเร็ว

ที่มาของภาพ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในจำนวนนี้ 58% หรือราว 47,000 คน เสียชีวิตด้วยเงื้อมมือของคนรัก หรือสมาชิกในครอบครัว หรือประเมินได้ว่า ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง 1 คน จะถูกฆ่าทุก ๆ 11 นาทีที่บ้านหรือที่พำนักของตนเอง

ผลสำรวจนี้ อ้างอิงจากการฆาตกรรมที่เกี่ยวโยงกับเพศต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงโดยคนรักหรือคนในครอบครัว รวบรวมจาก 95 ประเทศทั่วโลก

“ผู้หญิงและเด็กหญิง เป็นเหยื่อความรุนแรงถึงตายในทุกพื้นที่ทั่วโลก และ 6 ใน 10 ของเหตุฆาตกรรมเหล่านี้ มีคนรักหรือสมาชิกในครอบครัวเป็นผู้สังหาร” กาดา วาลี ผู้อำนวยการบริหาร ยูเอ็นโอดีซี กล่าว

“สถานการณ์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไม่ดีขึ้นเลย แม้ว่าจะเป็นในพื้นที่ที่ความรุนแรงถึงชีวิตในภาพรวมได้ลดลงแล้วก็ตาม”

สถานการณ์ในเอเชีย

ทวีปเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนเหยื่อเพศหญิงที่ถูกคนรักและคนในครอบครัวสังหารมากที่สุด ราว 18,600 คน ด้วยอัตราการเสียชีวิตจากการฆาตกรรมลักษณะนี้ 0.8 คน ต่อประชากรหญิง 100,000 คน

อัตราการฆาตกรรมโดยคนรักหรือคนในครอบครัวต่อประชากรหญิง 100,000 คน คือ ทวีปแอฟริกา 2.7 คน (ต่อ 100,000 คน) ตามด้วยโอเชียนเนีย 1.6 คน และอเมริกา 1.4 คน

รายงานยังระบุถึงคุณลักษณะการก่อเหตุฆาตกรรม ที่มักถูกเชื่อมโยงกับการฆาตกรรมโดยคนรักชาย ไว้ 8 ลักษณะ ดังนี้

  • ผู้ตายมีประวัติเคยถูกคุกคามทางเพศและเผชิญความรุนแรง
  • ผู้ตายถูกจำกัดเสรีภาพการเคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมาย
  • ผู้ตายถูกใช้กำลังรุนแรงสังหาร และมีการทารุณศพ หรือหั่นศพ
  • ร่างผู้ตายถูกนำไปทิ้งในพื้นที่สาธารณะ
  • การเสียชีวิตที่บ่งชี้ว่าเกิดจากอาชญากรรมความเกลียดชัง
  • ผู้ตายถูกใช้ความรุนแรงทางเพศก่อนถูกสังหาร
  • ผู้ตายทำงานในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเพศ
  • ผู้ตายมีประวัติถูกเอาเปรียบ หรือรีดไถทางการเงิน

ผู้ชายแบบไหนที่ฆ่าคนรักตัวเองได้

ดร. เจน มังก์ตัน สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยาในอังกฤษ ระบุว่า ผู้ชายที่ฆ่าคนรักของตัวเอง มีการทำตาม “ลำดับเวลาฆาตกรรม” ที่ตำรวจอาจจะใช้แกะรอยเพื่อช่วยเหลือเหยื่อก่อนถูกฆ่าได้

เธอพบรูปแบบ 8 ขั้นตอน ในการสังหาร 372 ครั้งที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2560 ดังนี้

  • ผู้ก่อเหตุมีประวัติของการล่วงละเมิดและแอบสะกดรอยตามในความสัมพันธ์ก่อนหน้าที่จะมีความสัมพันธ์กับเหยื่อ
  • ความรักพัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ที่จริงจังอย่างรวดเร็ว
  • ความสัมพันธ์นั้นถูกครอบงำด้วยการข่มขู่คุกคาม
  • มีชนวนเหตุที่ทำให้ผู้ก่อเหตุเริ่มทำการข่มขู่คุกคาม ยกตัวอย่าง ความสัมพันธ์จบลง หรือผู้ก่อเหตุมีปัญหาด้านการเงิน
  • มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั้งในด้านความถี่หรือความเข้มข้นของการเข้ามาควบคุมของคนรัก อย่างเช่น การสะกดรอยตาม หรือขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย
  • ผู้ก่อเหตุตัดสินใจที่จะลงมือฆ่า
  • ผู้ก่อเหตุวางแผน อาจจะหาซื้ออาวุธหรือหาจังหวะที่เหยื่ออยู่เพียงลำพังในการลงมือ
  • ผู้ชายฆ่าคู่รักของตัวเอง และอาจจะทำร้ายคนอื่นด้วย อย่างเช่น ลูกของเหยื่อ
Getty Images

ที่มาของภาพ, Getty Images

ดร. มังก์ตัน สมิธ กล่าวว่า มีกรณีเดียวที่ไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนนี้ คือ กรณีที่ผู้ชายไม่ได้มีลักษณะเหมือนในขั้นตอนแรก แต่นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์มาก่อน

ดร. มังก์ตัน สมิธ ได้สอนแบบจำลองของเธอให้แก่ทนายความ นักจิตวิทยา ตำรวจ และเจ้าหน้าที่คุมประพฤติทั่วสหราชอาณาจักร

การศึกษาของเธอ ยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารความรุนแรงต่อผู้หญิง (Violence Against Women Journal) ด้วย เธอหวังว่า จะมีการนำแบบจำลองนี้ไปใช้งานอย่างกว้างขวาง

“ทันทีที่พวกเขาเห็นแบบจำลองนี้ เหยื่อและเจ้าหน้าที่จะบอกได้เลยว่า ‘โอ้ พระเจ้า คดีนี้อยู่ขั้นที่ 3 แล้ว’ หรือ ‘ความสัมพันธ์ของฉันอยู่ขั้นที่ 5 แล้ว'” เธอ กล่าว

ดร. มังก์ตัน สมิธ กล่าวว่า เมื่อตำรวจเรียนรู้ 8 ขั้นตอนนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถแกะรอยหาตัวผู้ที่อาจจะเป็นผู้ก่อเหตุได้ ขณะที่เหยื่อก็จะบอกเจ้าหน้าที่ได้ง่ายขึ้นว่า สถานการณ์ที่เผชิญอยู่นั้นอยู่ขั้นไหนแล้ว

…..

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว