รัสเซีย ยูเครน : น้ำมันตลาดโลกเตรียมปรับขึ้นอีกรอบ จากมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียของอียู-จี7

ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น หลังจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงต่อเนื่อง บวกกับการที่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนํา 7 ประเทศ หรือ จี7 และชาติพันธมิตรประกาศกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย

น้ำมันดิบเบรนท์ที่ซื้อขายวันที่ 5 ธ.ค. ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ไปอยู่ที่ระดับ 87.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบที่ขยับสูงขึ้นมักดันให้ราคาน้ำมันเบนซินและค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งในสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 41 ปี

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นผลจากการที่กลุ่มจี7 สหภาพยุโรป (อียู) และออสเตรเลีย เห็นพ้องเมื่อ 2 ธ.ค.ให้กำหนดเพดานราคาน้ำมันจากรัสเซียไว้ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพื่อเพิ่มแรงกดดันรัสเซียจากการทำสงครามในยูเครน

Oil tanker on the Solent sea in the UK

Getty Images

ขณะเดียวกัน Opec+ กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ระบุเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะคงนโยบายลดกำลังการผลิตต่อไป

Opec+ เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 23 ชาติ รวมทั้งรัสเซีย ที่มีการประชุมเป็นประจำเพื่อตัดสินใจว่าจะขายน้ำมันดิบในตลาดโลกปริมาณเท่าใด

ในช่วงที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนแรก ๆ ราคาน้ำมันเคยพุ่งทะลุระดับ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมา เนื่องจากเกิดความกังวลว่าสงครามครั้งนี้จะทำให้ปริมาณน้ำมันที่ขายในตลาดโลกลดลง

แต่ราคาน้ำมันก็ลดลงอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและประเทศต่าง ๆ ใช้น้ำมันน้อยลง

Man carry barrel of oil

Getty Images

กัง วู จาก S&P Global Commodity Insights ผู้ให้บริการข้อมูลด้านพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์บอกกับบีบีซีว่า “การตัดสินใจของ Opec+ ในการคงปริมาณการผลิตน้ำมันครั้งนี้…เป็นการช่วยพยุงตลาดน้ำมันอย่างหนึ่ง”

บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกได้รับปัจจัยกระตุ้นให้ขยับตัวสูงขึ้นอยู่แล้วจากการที่จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดในหลายเมืองใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น

ขณะนี้ทางการในหลายเมืองของจีน เช่น เมืองอุรุมชี ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ระบุว่าจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ หลังจากประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงใหญ่ต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน

เพดานราคา

ในแถลงการณ์ร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อน กลุ่มจี7 และออสเตรเลีย ระบุว่า มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียไว้ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 ธ.ค. หรือ “หลังจากนั้นไม่นาน”

โดยชี้ว่า มาตรการนี้มีขึ้นเพื่อ “ป้องกันรัสเซียได้ประโยชน์จากการทำสงครามรุกรานยูเครน”

การกำหนดเพดานราคาน้ำมันครั้งนี้หมายความว่า จะอนุญาตให้เฉพาะน้ำมันรัสเซียที่มีราคาไม่เกิน 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลสามารถใช้บริการเรือบรรทุกน้ำมัน บริษัทประกันภัย และผู้ให้สินเชื่อต่าง ๆ ของกลุ่มจี7 และอียูได้

นี่จะทำให้รัฐบาลรัสเซียขายน้ำมันในราคาสูงกว่าเพดานที่กำหนดนี้ได้ยากขึ้น เนื่องจากบริษัทขนส่งทางเรือ และบริษัทประกันภัยรายใหญ่ต่างอยู่ในประเทศกลุ่มจี7

ด้านรัสเซียประกาศไม่ยอมรับการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดังกล่าว พร้อมขู่จะหยุดส่งออกน้ำมันให้แก่ประเทศที่ใช้มาตรการนี้

ฮอร์เก เลออน รองประธานอาวุโส Rystad Energy บริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานของนอร์เวย์ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า ราคาน้ำมันอาจปรับตัวขึ้นจากมาตรการนี้

“รัสเซียระบุชัดเจนว่าจะไม่ขายน้ำมันดิบให้ผู้ที่ลงนามใช้เพดานราคาดังกล่าว”

“ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะได้เห็นภาวะชะงักงันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้”

กลุ่มจี7 คือกลุ่มประเทศผู้นำด้านการค้าโลก และมีอิทธิพลต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ ประกอบไปด้วย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ

ความกังวลเรื่องน้ำมันตลาดโลก

ราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งสูงขึ้นจากความกังวลว่าสงครามในยูเครนจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันในตลาดโลก

รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย โดยขายน้ำมันราว 1 ใน 3 ของปริมาณที่ทวีปยุโรปต้องใช้

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า การกำหนดเพดานราคาน้ำมันครั้งนี้จะช่วยเพิ่มแรงกดดันด้านการเงินของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และ “จำกัดรายได้ที่เขาจะนำไปใช้จ่ายในการทำสงครามรุกรานอันโหดเหี้ยม” ขณะเดียวกันก็ช่วยไม่ให้เกิดภาวะชะงักงันของปริมาณน้ำมันในตลาดโลก

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนชี้ว่า มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันนี้ยังอ่อนแอเกินไป ไม่รุนแรงพอที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจรัสเซีย

ขณะเดียวกัน มาตรการห้ามนำเข้าน้ำมันรัสเซียจากทางทะเลของกลุ่มอียูก็จะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 ธ.ค.เช่นกัน

แม้มาตรการนี้จะส่งผลต่อรัสเซีย แต่ก็ไม่น่าจะรุนแรงมาก เพราะรัสเซียได้หันไปขายน้ำมันให้อินเดีย และจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศผู้ซื้อน้ำดิบรายใหญ่ ของรัสเซีย

………..

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว