ฉาววงการตำรวจ “ตบทรัพย์ทุนจีน” และ “เอาโจรเข้าประเทศ”

Getty Images วงการสีกากีไทยกำลังเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายกรณี

จากการบุกจับกุมบ้านพักหรูหลังหนึ่งในเขตพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ที่เชื่อมโยงกับทุนจีนสีเทา กลับกลายเป็นกรณีอื้อฉาวในวงการสีกากี เพราะชุดบุกจับ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ 191 ทหาร และล่ามแปลภาษา เรียกรับผลประโยชน์รวมเกือบ 10 ล้านบาท พร้อมปล่อยตัวชาวจีนทั้งหมด จนหลบหนีออกนอกประเทศไปได้

กรณีฉาวนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2565 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เข้าตรวจสอบบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ สน. ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งแอบอ้างว่าได้รับการรับรองจากสถานกงสุลประเทศนาอูรูประจำประเทศไทย ให้เป็นบ้านพักของกงสุลใหญ่ แต่กลับได้รับแจ้งเบาะแสว่า พบชาวจีนเข้าออกบ้านหลังนี้อย่างพลุกพล่าน

Getty Images
วงการสีกากีไทยกำลังเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายกรณี

ตำรวจและดีเอสไอ ตรวจพบชาวจีน 11 คน ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีแดงในฐานะผู้หนีคดี พร้อมพบเงินสดกว่า 8 ล้านบาท และพบว่า บ้านหลังนี้เป็นแหล่งทำวีซ่าปลอมให้กับชาวจีน แต่ท้ายสุด ชุดตรวจนี้กลับรายงานว่า พบคนจีนผู้ก่อเหตุเพียง 1 ราย และเงินสด 2.5 ล้านบาทเท่านั้น

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอ เรียกรับผลประโยชน์จากชาวจีน 11 รายดังกล่าว เป็นเงิน 20 ล้านบาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว ส่วนชาวจีนที่ถูกจับกุมนั้น เป็นหญิงแม่บ้านสูงวัยชาวจีน

ต่อมาไม่กี่วัน ชาวจีน 11 คนที่มีชื่ออยู่ในหมายแดงของรัฐบาลจีน ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องนี้ทำให้ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิติประภัสร์​ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนจะสืบสวนขยายผลจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องได้รวม 16 ราย โดยทั้งหมดได้มอบตัวต่อพนักงานสอบสวนแล้ว 15 นาย แต่ทั้งหมดการปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีหลักประกัน

ตำรวจตบทรัพย์ทุนจีน

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ แถลงข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า กรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ดีเอสไอ ยักยอกทรัพย์และเรียกรับผลประโยชน์จากชาวจีน 11 ราย ที่เป็นผู้ต้องสงสัยปลอมวีซาในบ้านพักดังกล่าว ได้เข้ามอบตัวแล้ว แต่ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะมีหนึ่งในผู้ต้องสงสัย คือ ล่ามภาษาจีน ยอมรับสารภาพทั้งหมด

รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ทราบเรื่องเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2565 หรือผ่านการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวไปแล้ว 5 วัน เนื่องมาจาก ล่ามภาษาจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย และอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังของไทย ได้พยายามหนีออกนอกประเทศไปมาเลเซีย ทางการจึงควบคุมตัว และยอมรับสารภาพทั้งหมด

การบุกค้นบ้านที่เชื่อว่าเป็นบ้านพักรับรองของสถานกงสุลนาอูรู แต่ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตวีซาปลอม มีดีเอสไอเป็นเจ้าของเรื่อง แต่ประสบปัญหาการออกหมายค้นไม่ทัน จึงประสานสำนักงานตำรวจนครบาล ที่ส่งเรื่องต่อให้ตำรวจ 191 เพื่อสนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว โดยมีเจ้าหน้าที่ ศรภ. หรือศูนย์รักษาความปลอดภัยอีก 1 คน และล่ามชาวจีนอีก 1 คน รวมเป็น 16 นาย/คน ในภารกิจตรวจค้นนี้

“ตรวจสอบแล้วว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของกงสุลนาอูรูแต่อย่างใด แต่เป็นบ้านที่ชาวจีนเหล่านี้เช่าไว้เพื่อปลอมวีซา” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว

เมื่อเข้าตรวจค้นแล้ว จึงพบชาวจีน 11 คนที่มีชื่อในหมายแดง และเงินสดกว่า 8 ล้านบาท แต่กลับกลายเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจสมคบคิดกับล่ามชาวจีน ยักยอกทรัพย์สินเป็นเงินสด 5.5 ล้านบาท พร้อมเจรจาเรียกรับผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มอีก 4 ล้านบาท รวมเป็น 9.5 ล้านบาท แลกกับการปล่อยตัวผู้ต้องสงสัย 11 ราย

“ร่วมไปร่วมมาก็ร่วมกันกระทำความผิด” พล.ต.อ สุรเชษฐ์ กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า มีการถอดกล้องวงจรปิด และเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในบ้านหลังดังกล่าว “เอากลับบ้าน” แทนที่จะส่งเป็นของกลาง

คดีนี้ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างสรุปสำนวน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ดี รอง ผบ.ตร. ย้ำว่า กลุ่มชาวจีน 11 คนที่หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทาของเครือข่ายนายตู้ห่าว ที่ตำรวจสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดไปเมื่อไม่นานมานี้

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
คลิปวิดีโอที่นายชูวิทย์นำมาโพสต์

ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า “จีนเทากับผลประโยชน์เงินมาก จึงหลุดรอดไปทุกครั้ง” พร้อมเผยแพร่คลิปการเข้าตรวจค้นบ้านหลังนี้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และดีเอสไอ

“พบเงินสด 8 ล้านบาท แต่กลับโลภ ยักเอาไว้ 5.5 ล้าน นำส่งบันทึกไว้แค่ 2.5 ล้าน… 5.5 ล้าน แบ่งกันระหว่างดีเอสไอ กับ 191 แต่ยังแบ่งไม่ลงตัว จึงให้จีนเทาไปเอาเงินสดมาอีก 4 ล้าน นัดให้เอามาส่งที่ปั๊มน้ำมัน” นายชูวิทย์ ลงรายละเอียด ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ แถลงข่าวในวันที่ 16 ม.ค.

“อธิบดีดีเอสไอถึงเวลาทำความสะอาดบ้านครับ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่ต้องจัดการ… ตัวองค์กรดีเอสไอยังมีประโยชน์ในการจัดการทั้งพนันออนไลน์ ฟอกเงิน นอมินี วงเงินสูงต้องตรงไปตรงมา อย่าให้เจ้าหน้าที่เพียงบางคนทำให้องค์กรพัง”

“เอาโจรเข้าประเทศ”

ไม่เพียงแต่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 แต่ยังมีประเด็นอื้อฉาวที่เกี่ยวกับทุนจีนสีเทาอีกกรณีที่กลายเป็นข่าวในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังนายชูวิทย์ ออกมาตั้งคำถามถึงการดำเนินคดีกับอดีตผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทา

พล.ต.อ. สุรเชษฎ์ เปิดเผย ระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์” ว่า ได้เตรียมดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. แล้ว 81 นาย ในจำนวนนี้ เป็นระดับผู้บัญชาการกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง หรือ ผบก.ตม. 3 นายด้วยกัน ขณะที่หากแบ่ง ตม. จังหวัดต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินคดีจะแบ่งได้ดังนี้

  • ตม.ขอนแก่น – 15 นาย
  • ตม.นครราชสีมา – 11นาย
  • ตม.ชัยภูมิ – 8 นาย
  • ตม.อำนาจเจริญ – 7 นาย
  • ตม.อุดรธานี – 7 นาย
  • ตม.ยโสธร – 4 นาย
  • ตม.สกลนคร – 4 นาย
  • ตม.ยโสธร – 4 นาย
  • ตม.มหาสารคาม – 3 นาย
  • ตม.หนองบัวลำภู – 3 นาย
  • ตม.ร้อยเอ็ด – 2 นาย
คดีนายตู้ห่าว ตำรวจได้ส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องแล้ว

Thai News Pix
คดีนายตู้ห่าว ตำรวจได้ส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องแล้ว

รอง ผบ.ตร. ระบุว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้กระทำการ “เอาโจรเข้าประเทศ” กันมานานแล้ว ด้วยการอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทาเข้าประเทศ หรืออนุมัติต่อวีซ่าให้กลุ่มคนจีนที่ใช้ใบรับรองของมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษา มากกว่า 3,000 คนในปี 2564 เพียงปีเดียว

จากผลการสอบสวนพบพิรุธในหลายประเด็น โดยบางพื้นที่พบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง มีสถานะเป็นประธานมูลนิธิเสียเอง หรือบางพื้นที่สถานที่ตั้งของมูลนิธิ มีลักษณะไม่ต่างจากเล้าไก่ นอกจากนั้นยังพบการปลอมแปลงลายเซ็นรองผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อรับรองการเปิดมูลนิธิ ทั้งหมดเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่หัวหน้าสถานี ไปถึงระดับนายพล โดยสัปดาห์หน้าจะออกหมายเรียกให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา

“ประเทศจีนเปิดแล้ว ถ้า ตม. ไม่เข้มแข้ง ก็จะยิ่งหนักขึ้นไปอีก” พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าว “คนไทยเองอยู่ในไทย ตื่นเช้ากลับค่ำ ก็นอนไม่หลับ เพราะโจรเต็มไปหมด”

อย่างไรก็ดี รอง ผบ.ตร. ยืนกรานว่า เจ้าหน้าที่ผู้กระทำผิดยังถือเป็นส่วนน้อย เพราะจากกำลังพล ตม. 20,000 นาย มีผู้กระทำผิดใช้อำนาจโดยมิชอบราว 90 นาย พร้อมระบุว่า เจ้าหน้าที่ ตม. ที่กระทำผิดนั้นอยู่ในสมัยก่อนที่ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองคนใหม่ จะเข้าปฏิบัติงาน


ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว