ในวันที่สามหลังเกิดเหตุเครื่องบินรบของทหารเมียนมารุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าไทย ฝ่ายความมั่นคงของไทยออกมายืนยันว่าไม่มีเหตุเกิดซ้ำ เพราะทางไทยได้ประสานงานกับเมียนมาเรียบร้อยแล้ว
พล.ต. ประสาน แสงศิริรักษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร กล่าวว่า ยังคงมีการสู้รบในประเทศเพื่อนบ้าน และไม่มีการใช้เครื่องบินรบล้ำน่านฟ้าไทย เพราะทางไทยได้ประสานไปแล้วทั้งในระดับสูง และระดับท้องถิ่น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- รักษาการอธิบดี DSI เปิดเงื่อนไข “ขนย้ายกากแคดเมียม” เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษหรือไม่
ผบ.กกล.นเรศวร ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ในระหว่างเดินทางไปตรวจเยี่ยมทหาร และตรวจสถานการณ์การสู้รบระหว่างฝ่ายต่อต้านทหารเมียนมากับทหารเมียนมา ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา ด้าน อ.พบพระ จ.ตาก ในวันที่ 2 ก.ค.
สถานการณ์การสู้รบระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยเชื้อสายกะเหรี่ยงกับทหารเมียนมาระลอกล่าสุดเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 หลังเปิดฉากปะทะกันตั้งแต่ 26 มิ.ย. บริเวณบ้านอูเกรทะ อ.วาเล่ย์ใหม่ จ.เมียวดี ด้านตรงข้ามกับบ้านวาเลย์ใต้ ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก ส่งผลให้มีกระสุนไม่ทราบชนิด/ไม่ทราบฝ่าย ข้ามตกมายังฝั่งไทยเป็นครั้งคราว สร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน
ขณะที่ยอดผู้ลี้ภัยการสู้รบข้ามมายังจุดปลอดภัยชั่วคราวในฝั่งไทยไทยมีอย่างน้อย 470 คน และมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอนาทีหนีตายของผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า หลายคนต้องหมอบและคลานไปตามพื้นดินเพื่อหนีเอาตัวรอดจากกระสุน ก่อนมุ่งหน้ามายังชายแดนไทย
พล.ต. ประสานระบุว่า ผู้ลี้ภัยที่ข้ามมาบางส่วนได้ขอกลับไปแล้ว ในจุดที่ไม่มีการสู้รบ เพราะเป็นห่วงบ้านเรือน และทรัพย์สินในฝั่งเมียนมา
เจ้าหน้าที่ไทยในหมู่บ้านหมื่นฤาชัย ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก ได้รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 19.30 น. ของวันที่ 1 ก.ค. ว่ามีเหตุระเบิดจากเครื่องบินรบทหารเมียนมาไม่ทราบชนิดตกใส่กลางบ้านของนายจอราโด้ ผู้ใหญ่บ้าน ที่หมู่บ้านทิบาโบ จ.เมียวดี ขณะที่ทั้งหมดกำลังนั่งรับประทานอาหารภายในบ้าน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน และได้รับบาดเจ็บ 3 คน
ต่อมามีการประสานมายังเจ้าหน้าที่ไทยขอผ่อนปรนนำผู้บาดเจ็บ 3 คนโดยสารเรือข้ามแม่น้ำเมยมาฝั่งไทย เพื่อส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในพื้นที่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไทยยินยอมให้ข้ามฝั่งมาได้ ส่วนผู้เสียชีวิตได้นำศพไว้ฝั่งเมียนมาเพื่อทำพิธีศพตามประเพณีต่อไป
เจ้าหน้าที่ไทยแจ้งว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน มีเอกสารของทางการไทยออกให้ โดย 1 คนมีบัตรประจำตัวประชาชนไทย อีก 1 คน มีบัตรพื้นที่สูง และอีก 1 คนมีบัตร 10 ปี ส่วนกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ พบบัตรประจำตัวประชาชนไทย 1 คน บัตรพื้นที่สูง 1 คน ส่วนอีก 1 คนไม่ทราบ
ก่อนเกิดเหตุ มีเครื่องบินรบมิก 29 ของทหารเมียนมาบินปฏิบัติการโจมตีฝ่ายต่อต้านทางอากาศ จนมีระเบิดตกใส่กลางหลังคาบ้านเรือนของประชาชน
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมามานี้ ทหารเมียนมาใช้เครื่องบินมิก 29 บินเลียบแนวชายแดนไทย–เมียนมา ในระดับต่ำ พร้อมยิงจรวดและปืนกลถล่มรอบฐานอูเกรทะของฝ่ายกะเหรี่ยง จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นข้ามชายแดน ทั้งนี้เมื่อ 30 มิ.ย. ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนชาวไทย เมื่อเครื่องบินมิก 29 บินล้ำแดนเข้ามาถึง อ.พบพระ จนชาวบ้านต้องวิ่งไปในหลุมหลบภัยอย่างชุลมุน
“เพื่อนปฏิบัติต่อเพื่อน“
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ พล.อ.อ. นภาเดช ธูปเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ออกมายืนยันสมรรถนะในการปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมระบุว่าได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝั่งเมียนมาแล้ว
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ประสานไปยังเมียนมาแล้ว เขายอมรับแล้วว่ารุกล้ำ พร้อมขอโทษมาแล้ว ระบุว่าไม่ได้ตั้งใจจะมีปัญหา แต่เขาต้องตีวงเลี้ยวจึงล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยเล็กน้อย
“นี่เป็นเรื่องที่มองดูอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องใหญ่ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหรือไม่ ซึ่งวันนี้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดคุยหารือกัน สิ่งสำคัญคือเรามีสมรรถนะพอเพียงที่จะป้องกันอธิปไตยของเราไว้ได้…ย้ำว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” นายกรัฐมนตรีกล่าว
เช่นเดียวกับ พล.อ.อ. นภาเดช ที่ออกมาการันตีว่า ระบบป้องกันทางอากาศของไทยดีมาก ไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่หลายคนสงสัย บางครั้งไม่ได้วัดกันที่ความรวดเร็ว แต่วัดกันที่ความสุขุมรอบคอบ คำนึงถึงสถานการณ์เล็กใหญ่ ที่สำคัญคือการตัดสินใจที่พอเหมาะพอควรกับสถานการณ์
แม้ยอมรับว่า “ผมก็เดือดเหมือนกัน บางทีอาจจะเดือดกว่าพี่น้องประชาชนอีกด้วย” แต่ ผบ.ทอ. ก็เลือกใช้คำพูดเดียวกับนายกฯ มาสื่อสาร นั่นคือ “ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องใหญ่กว่า“
พล.อ.อ. นภาเดชยังระบุด้วยว่า การป้องกันภัยทางอากาศว่ามี 3 ลำดับ 1. พิสูจน์ฝ่าย 2. สกัดกั้น และ 3. ทำลาย แต่เมียนมาคือเพื่อน
“ถ้าเพื่อนพลั้งเผลอเดินตัดสนามหน้าบ้านแล้วเราจะไปยิงเขาตายเลยหรือ นั่นก็เกินไป เพราะฉะนั้นการปฏิบัติการที่เหมาะสม ขอให้อยู่บนพื้นฐานเพื่อนปฏิบัติต่อเพื่อน ผมเชื่อว่าขณะนี้เขาตระหนักในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแน่นอน” ผบ.ทอ. กล่าว
เสียงวิจารณ์จากอดีตนักการทูต–ฝ่ายค้าน
ท่าที่ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพอากาศ ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งในมิติด้านการป้องกันประเทศ และนโยบายของไทยที่มีต่อเมียนมา
นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้ไทยมีท่าทีที่มั่นคงชัดเจนกว่านี้ว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก” ควรประท้วง เตือน หรือมีท่าทีที่เหมาะสมแก่กรณีในแต่ละระดับ ที่ผ่านมา ยังไม่ได้ฟังท่าทีของเมียนมาในเรื่องนี้ มีแต่ได้ยินฝ่ายต่าง ๆ ของไทยชี้แจง ซึ่งบางชุดของคำชี้แจงตรวจสอบแล้วเป็นของฝ่ายไทย ไม่ใช่จากฝ่ายเมียนมา
เขายังตั้งคำถามด้วยว่า ไทยได้แสดงความกังวลเพียงพอหรือไม่ว่าการปฏิบัติการของเมียนมาอาจมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยตามแนวชายแดน และจะมีหลักประกันอย่างไรว่าจะไม่เกิดกรณีเช่นนี้อีก
“การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว แต่ต้องรักษาเกียรติภูมิของประเทศในระยะยาวด้วย” นายนพดลระบุ
นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และเจ้าของเพจ “ทูตนอกแถว” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.2 แสนคน วิจารณ์เมื่อ 30 มิ.ย. ว่ากองทัพอากาศไทย “ล้มเหลวในการป้องกันประเทศ” สะท้อนผ่านคำแถลงของโฆษก ทอ. ที่บอกว่าเห็นในจอเรดาร์ว่ามีเครื่องบินเมียนมาบินวนประชิดชายแดน แต่ยังปล่อยให้เขารุกล้ำเข้ามาได้อีก โดยไม่คิดทำอะไรก่อนหน้า แทนที่จะส่งเครื่องบินของไทยขึ้นไปเป็นเชิงป้องปรามแต่แรก
“แล้วจะมาบอกว่าดูแล้วไม่คุกคาม แต่นี่มันเป็นเรื่องอธิปไตยและความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สินคนไทยนะครับ มันไม่มีความสำคัญเลยหรืออย่างไร? การแถลงแบบนี้ก็เท่ากับยอมรับเองถึงการปล่อยปละละเลย ความหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศชาติ” นายรัศมิ์ระบุ
เช่นเดียวกับนโยบายต่างประเทศของไทยต่อเมียนมา ซึ่งนายรัศมิ์มองว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” และ “ที่อ้างกลัวกระทบความสัมพันธ์อะไรนั่นคือตลกมาก” พร้อมตั้งคำถามต่อการตั้งผู้แทนพิเศษไปคุยกับทางเมียนมาว่าฝ่ายเมียนมาเกรงใจ ยินยอมลดความรุนแรง หยุดยิง หรือยุติการสู้รบอย่างที่เป็นมติของอาเซียนที่ร้องขอบ้างไหม และต่อความรุนแรงที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนไทยตามชายแดนทุกวันนี้มีท่าทีลดลงหรือเพิ่มขึ้นกันแน่ จนเขารุกล้ำอธิปไตยของเราอย่างจงใจและชัดแจ้งแบบนี้
ด้านอดีตนักบินเอฟ 16 และอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการ กทม. สังกัดพรรคไทยสร้างไทย น.ต. ศิธา ทิวารี เห็นว่า “รัฐบาลไทยสอบตก” ในการให้ความมั่นใจว่าจะรักษาอธิปไตยของไทยได้
เขาแสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์เมื่อ 30 มิ.ย. โดยระบุว่า รัฐบาลไทยต้องให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนหลัก และให้ความเห็นส่วนตัวไว้ ดังนี้
- ความรู้สึกมั่นใจว่ารัฐบาลนี้จะรักษาอธิปไตยของไทย และดูแลความปลอดภัยให้พี่ประชาชนได้ ทั้งทางกายภาพ และสภาพจิตใจ เห็นว่า “รัฐบาลไทยสอบตก ควรชี้แจงใหม่ ให้ประชาชนมั่นใจอีกครั้ง“
- ท่าทีต่อหลักมนุษยธรรม ในการใช้ยุทโธปกรณ์ทางการทหารเพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อย เห็นว่า “การแถลงในลักษณะยินยอมให้รุกล้ำน่านฟ้าไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหาร เท่ากับเรามีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว“
- ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เห็นว่า “รัฐบาลรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ดี ซึ่งมันอาจจะดีเกินไป จนทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่นต่อข้อที่ 1และ 2 รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับทั้ง 3 ส่วน โดยต้องให้ความสำคัญกับ ‘ความรู้สึกของคนไทย‘ ให้มากกว่านี้“
สรุปเหตุสู้รบชายแดนจากมุมของรัฐไทย
หากนำเหตุการณ์มิก 29 บินรุกน่านฟ้าไทยเป็นจุดตั้งต้น ความไม่สงบตามแนวชายแดนถูกบันทึกไว้อย่างไรโดยศูนย์สั่งการชายแดนไทย–เมียนมา จ.ตาก
บีบีซีไทยสรุปมาไว้ ณ ที่นี้
30 มิ.ย.
- เกิดการปะทะกันระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยเชื้อสายกะเหรี่ยง บริเวณบ้านอูเกรทะ อ.วาเล่ย์ใหม่ จ.เมียวดี ลึกเข้าไปในฝั่งเมียนมา ประมาณ 1 กม. ทั้งนี้ทหารเมียนมาใช้อากาศยานสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ ก่อนที่การปะทะจะยุติลงในเวลา 17.00 น.
- ผลการปะทะของกำลังทั้งสองฝ่าย ทำให้มีกระสุนไม่ทราบชนิด/ไม่ทราบฝ่าย ข้ามมาตกยังฝั่งไทย บริเวณไร่ปาล์มของราษฎร บ้านวาเล่ย์เหนือ หมู่ 3 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ ส่งผลให้ยานพาหนะของประชาชนได้รับความเสียหาย
- เวลา 11.59 น. กองทัพอากาศไทยตรวจพบอากาศยานไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนเข้ามายังฝั่งไทย บริเวณ อ.พบพระ จ.ตาก จึงมีคำสั่งให้เครื่องบินขับไล่แบบที่ 19 หรือเอฟ-16 จำนวน 2 ลำ ขึ้นบินลาดตระเวนรบในบริเวณดังกล่าวเพื่อปฏิบัติภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ
- จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองกำลังนเรศวรได้แจ้งเตือนและทำหนังสือประท้วงไปยังคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย–เมียนมา (TBC) และกองทัพอากาศได้สั่งการให้ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอากาศประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ ย่างกุ้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเมียนมา แจ้งเตือนและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต
- ปัจจุบัน มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาเดินทางเข้ามาฝั่งไทยเป็นการชั่วคราว 855 คน เฉพาะวันที่ 30 มิ.ย. มีผู้หนีภัยเข้ามาถึง 576 คน โดยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวภายใน ต.วาเลย์ อ.พบพระ โดยอยู่ที่บ้านมอเกอร์ไทย จำนวน 305 คน (ยอดเดิม 281 คน เข้ามาเพิ่ม 26 คน และขอเดินทางกลับฝั่งเมียนมา 2 คน) ส่วนอีก 550 คนที่ข้ามมาฝั่งไทยภายในวันเดียวกันนี้ อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย บ้านวาเลย์เหนือ ต.วาเลย์ อ.พบพระ
พล.อ.ต. ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) ปฏิเสธข้อวิจารณ์ที่ว่า ทอ. ตอบโต้ล่าช้า โดยระบุว่า หลังได้รับการรายงานและเห็นภาพในจอเรดาร์จากสถานีเรดาร์ว่าเมียนมานำเครื่องบินรบขึ้นบินใช้กำลัง แต่ยังบินวนในเขตของเขา ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้ำแดนเข้ามายังฝั่งไทย ทาง ทอ. ได้เฝ้าระวังและติดตามอยู่ตลอด
“จากการวิเคราะห์และดูจากสถานการณ์ ไม่พบว่าจะมีการบินเข้ามาในลักษณะของภัยคุกคาม เพราะเจตนาไม่ได้พุ่งตรงปักหัวมาทางเรา หากยังไม่ล้ำแดนเข้ามา เราก็ยังไม่สามารถปฏิบัติการใด ๆ ได้ เพราะจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อกัน”
กระทั่งเห็นการใช้อาวุธของเครื่องบินรบเมียนมา แล้วมีการบินม้วนตัวเข้ามาในเขตไทย ซึ่งบริเวณชายแดน อ.พบพระ ตรงจุดที่บินม้วนนั้นจะเป็นจงอยยืนไป จึงได้มีคำสั่งให้เครื่องบินขับไล่เอฟ-16 จำนวน 2 ลำ จาก อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว ขึ้นบินถึงพื้นที่ อ.พบพระ ภายใน 5-10 นาที
1 ก.ค.
- เกิดการปะทะกันระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยเชื้อสายกะเหรี่ยง บริเวณบ้านอูเกรทะ อ.วาเล่ย์ใหม่ จ.เมียวดี ลึกเข้าไปในฝั่งเมียนมา ประมาณ 1 กม. ทั้งนี้ทหารเมียนมาใช้อากาศยานสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ ก่อนที่การปะทะจะยุติลงในเวลา 17.00 น.
- การปะทะของกำลังทั้งสองฝ่าย ไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณแนวชายแดน
- ปฏิบัติการสำคัญของไทย กองกำลังนเรศวร, ตำรวจภูธรจังหวัดตาก และฝ่ายปกครองจังหวัดตาก ได้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กองทัพอากาศมีคำสั่งให้เครื่องบินขับไล่เอฟ-16 จำนวน 2 ลำ บินลาดตระเวนรบในพื้นที่ อ.พบพระ เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินต่างชาติบินรุกล้ำเข้ามาในฝั่งไทย
- ปัจจุบัน มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาเดินทางเข้ามาฝั่งไทยเป็นการชั่วคราว 442 คน โดยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวภายใน ต.วาเลย์ อ.พบพระ โดยอยู่ที่บ้านมอเกอร์ไทย จำนวน 298 คน (ยอดเดิม 305 คน เข้ามาเพิ่ม 13 คน และขอเดินทางกลับฝั่งเมียนมา 20 คน) และบ้านวาเลย์เหนือ จำนวน 144 คน (ยอดเดิม 550 คน เข้ามาเพิ่ม 30 คน และขอเดินทางกลับฝั่งเมียนมา 436 คน)
…………
ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว