Shopee รับจำใจปลดพนักงาน 3-5% ตามแผนบริษัทแม่ เพื่อไปต่อ

ช้อปปี้ ขึ้นค่าธรรมเนียมร้านค้าเป็น 3% เริ่ม 1พ.ย.นี้

ช้อปปี้ ยักษ์แพลตฟอร์มดิจิทัล ยอมรับปรับลดพนักงานในไทยตามแผนบริษัทแม่ ลดทีมงาน 3-5% เน้นพึ่งพาตนเอง เพิ่มสปีดองค์กร โฟกัสธุรกิจหลักรับมือวิกฤต ความผันผวนของเศรษฐกิจ ดูแลจ่ายแพ็กเกจพนักงานถูกปลดเพิ่มจากกฎหมายกำหนด

วันที่ 27 กันยายน 2565 แหล่งข่าวระดับสูงจากช้อปปี้ ประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การปรับลดขนาดทีมต่าง ๆ ภายในบริษัทที่แจ้งกับพนักงานในที่ประชุม Townhall เมื่อวานนี้ (26 ก.ย. 2565) เป็นไปตามแผนการพึ่งพาตนเอง (self sufficient) ที่บริษัทแม่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ที่จะมีการลดคนในอัตราส่วนใกล้เคียงที่ 3-5% ทั้งภูมิภาค

“ก่อนหน้านี้ เราได้ลดคนในทีมที่จีนและอินโดนีเซียแล้ว 3% ซึ่งในไทยก็จะปรับขนาดทีมด้วยจำนวนที่ใกล้เคียงกับอินโดนีเซีย แต่ไม่ได้มีการยุบทีมใด ๆ และยังคงดำเนินธุรกิจหลักอย่างครบถ้วน เพียงแต่ลดจำนวนคนลงเพื่อให้มีความคล่องตัวและดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินจากนักลงทุนมากนัก”

แหล่งข่าวกล่าวว่า ผู้บริหารได้ชี้แจงเหตุผลว่าเกิดจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อยู่ในวิกฤต และมีความผันผวน บริษัทจำเป็นต้องปรับองค์กรให้มีความคล่องตัว เน้นการพึ่งพาตนเองให้ได้ จึงต้องมีการปรับรูปแบบโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพนักงานที่โดนปลดจะมี “แพ็กเกจ” ช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่จะได้รับจากการเลิกจ้างตามกฎหมาย เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช้อปปี้มีการปลดพนักงานในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นในจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ล่าสุดประเทศไทย แต่ดูเหมือนว่าการปรับโครงสร้างดังกล่าวไม่ได้เกิดแค่ในภูมิภาคนี้เท่านั้น

โดยเมื่อต้นเดือน ก.ย. 2565 รอยเตอร์สรายงานว่า ฝ่ายอีคอมเมิร์ซของ Sea Group บริษัทแม่ “ช้อปปี้” ได้ส่งอีเมล์ถึงพนักงานเพื่อแจ้งการปิดดำเนินงานในประเทศชิลี, โคลอมเบีย และเม็กซิโก รวมถึงถอนธุรกิจออกจากประเทศอาร์เจนตินาโดยสิ้นเชิงด้วย ซึ่งผู้บริหารได้แจ้งกับพนักงานด้วยข้อความในลักษณะเดียวกันว่า “การปลดพนักงานเกิดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจมหภาค บริษัทจำเป็นต้องมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การดำเนินธุรกิจหลัก”

รอยเตอร์สยังรายงานด้วยว่า แผนการปรับองค์กรดังกล่าวเกิดจากผู้บริหาร และนักลงทุนของ SEA มองเห็นมูลค่าบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เนื่องจากธุรกิจเกมและอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมากช่วงโควิด แต่ราคา “หุ้น” กลับร่วงลงต่อเนื่องตั้งแต่นั้น เป็นที่มาของคำสั่งภายในองค์กรให้หาวิธีบริหาร เพื่อให้ได้ผลกำไรในตลาดสำคัญ ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2023