ห่วงธุรกิจประกันล้ม-ปชช.เดือดร้อน สมาคมประกันฯ เปิดเหตุผลเลิกเจอจ่ายจบ

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัยโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ หวั่นเกิดโควิดระลอกใหม่ปะทุ กังวลบริษัทประกันล้ม-ประชาชนเดือดร้อน เผยยอดเคลม 15 พ.ย.ทะลุ 37,000 ล้านบาทแล้ว สิ้นปีแตะ 40,000 ล้านบาท

เคลมโควิด พ.ย.พุ่ง 3.7 หมื่นล้าน

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยในงานเแถลงข่าวเกี่ยวกับ “สถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัยโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ” ว่า จากข้อมูลสถิติค่าสินไหมทดแทนรวมจากการรับประกันภัยโควิด-19 จนถึงวันที่ 15 พ.ย.64 แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนสูงกว่า 37,000 ล้านบาท ในขณะที่เงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโดยรวมนั้นอยู่ที่ประมาณ 132,000 ล้านบาท

และด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังคงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน รวมถึงความเป็นไปได้ในการเกิดการระบาดระลอกใหม่ ทำให้คาดการณ์ว่าค่าสินไหมทดแทนสะสมจนถึงสิ้นปี 2564 จะเพิ่มสูงถึง 40,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเงินกองทุนทั้งหมด ซึ่งอัตรานี้เป็นค่าเฉลี่ยของทุกบริษัท ฉะนั้นอาจมีบางบริษัทที่มีความเสียหายสูงกว่าเงินกองทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก) และอาจเพิ่มสูงถึง 60-70% ของเงินกองทุนหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ดังเช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในเวลานี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันวินาศภัยหลายบริษัทอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ผู้ทำประกันติดเชื้อพุ่งแซงหน้าคนทั่วไป

ทั้งนี้จากสถิติผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อ 2.8% ของประชากร แต่อัตราผู้ติดเชื้อของผู้ที่มีประกันโควิด-19 สูงถึง 3.8% ของผู้ถือกรมธรรม์ ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั่วไปถึง 35.7% นอกจากนี้แล้วข้อมูลจากบริษัทซึ่งอยู่ในท็อป 5 ของบริษัทที่รับประกันโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบมีอัตราการติดเชื้อสูงถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั้งหมดถึง 46%

ดังนั้นหากการติดเชื้อดังกล่าวของผู้ที่มีประกันภัยโควิด- 19 แพร่ไปยังประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อาจก่อให้เกิดการระบาดและคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของแผนการเปิดประเทศได้

โดยแผนเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.64 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้แล้วยังมีเป้าหมายให้ประชาชนเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับโรค โควิด-19 เนื่องจากมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วเกินกว่า 63% ของประชากร ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มสองมีมากกว่า 52% ของประชากร

ซึ่งการได้รับวัคซีนแล้วจะส่งผลทำให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปรกติเพิ่มมากขึ้น เพราะโอกาสในการเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้นจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็จะส่งผลทำให้โอกาสในการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์มาตรฐานสากล

ทั้งนี้ตามหลักการประกันภัยสากลรวมถึงประเทศไทย ผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยต่างก็มีสิทธิในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย อย่างไรก็ตามการบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้นไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยนั้น จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้เอาประกันภัยทราบอย่างน้อย 15-30 วัน ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.

สำหรับสาเหตุในการบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น โดยทั่วไปมาจากการที่ผู้เอาประกันภัยไม่พึงพอใจในบริการ หรือได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าจากบริษัทประกันภัยอื่น หรือเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไป

ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยแบบเฉพาะรายนั้น ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการกระทำฉ้อฉลของผู้เอาประกันภัย หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีอัตราการเคลมสูงกว่าอัตราปรกติเป็นอย่างมาก หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยให้ข้อมูลหรือเอกสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง สำหรับการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยจำนวนมากในคราวเดียวกันจะมีสาเหตุมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยง (Risk Profile) ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมักจะเกิดกับเหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยหรือความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk)

“จะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยความเสี่ยงผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในปี 2563 มีจำนวน 6,884 คน ในขณะที่ในปี 2564 นับจนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อถึง 2,037,241 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 296 เท่า หรือ 29,600% สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2563 นั้นมีจำนวน 61 คน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในปีนี้มีถึง 20,193 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 331 เท่า หรือ 33,100%”

กางเหตุผล คปภ. สั่งบังคับมีผลย้อนหลัง

นายอานนท์ ให้ข้อมูลต่อว่า เงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนั้น เป็นเงื่อนไขมาตรฐานที่กำหนดอยู่ในกรมธรรม์ทุกประเภททั่วโลกและในประเทศไทยรวมถึงกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ด้วย ซึ่งเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. ทุกฉบับ

คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย ในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ได้ให้อำนาจนายทะเบียนในการสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบหรือข้อความที่ได้เคยอนุมัติไปแล้วได้ และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 นายทะเบียนได้ใช้อำนาจในการสั่งยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย

ทั้งนี้ในคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ได้ระบุ “ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนและกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยก่อนวันที่มีคำสั่งนี้และยังคงมีผลใช้บังคับ”

ในความเห็นของสำนักงาน คปภ. นั้น คำสั่งนี้มีผลบังคับตามกฎหมาย โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังไปถึงกรมธรรม์ที่ได้ออกไปแล้วก่อนหน้าวันที่มีคำสั่งประกาศใช้

คำสั่งควรมีผลบังคับกรมธรรม์ออกใหม่

ในขณะที่ความเห็นจากกลุ่มบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 นั้น มีความเห็นแตกต่าง ดังนี้

1.คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกใหม่หลังวันที่ออกคำสั่ง เช่นที่เคยปฏิบัติมา

2.ตามหลักกฎหมายทั่วไป (รัฐธรรมนูญ หลักกฎหมายปกครอง และหลักกฎหมายอาญา) กฎหมายย่อมไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ยกเว้นกฎหมายที่เป็นคุณกับผู้ถูกบังคับ

3.เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมีความสัมพันธ์กับนโยบายการรับประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัย เมื่อมีคำสั่งแก้ไขเฉพาะเงื่อนไข ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับประกันภัย เพราะเมื่อมีการปรับเงื่อนไข จะทำให้ความเสี่ยงเปลี่ยนไป ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิเลือกว่าจะรับประกันภัยต่อไปหรือไม่ และด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยเท่าใด

4.มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้รับประกันภัยต่อ เพราะเงื่อนไขที่นายทะเบียนสั่งแก้ไขอาจไม่ตรงกับสัญญาประกันภัยต่อ และจะทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยต่อ

สิทธิบอกเลิกเสมือนระบบเซฟทีคัท

“เงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกเปรียบเสมือนเป็นระบบเซฟทีคัทในบ้านทุกหลัง หรือระบบเบรกในรถยนต์ทุกคัน เพื่อจะใช้ตัดไฟหรือหยุดรถในยามฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดเหตุวิกฤต ผมขอเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ลองนึกถึงรถที่บรรทุกผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถวิ่งจากกรุงเทพไปเชียงราย แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายและไม่มีความพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้

จึงมีความจำเป็นต้องหยุดรถเพื่อซ่อมแซมให้เกิดความปลอดภัย แต่มีคนมาสั่งการให้เอาระบบเบรกออกและสั่งให้รถวิ่งต่อไป ซึ่งทางข้างหน้าเป็นทางที่อันตราย และรถก็ไม่มีระบบเบรกแล้ว เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายถึงชีวิตทั้งกับคนขับ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นได้” นายอานนท์ กล่าว

โควิดความเสี่ยงอุบัติใหม่

สำหรับโควิด-19 ถือเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือที่เรียกว่าความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risk) ซึ่งโดยหลักแล้ว การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยจะไม่มีสถิติมารองรับอย่างเพียงพอ ดังนั้นในระยะเริ่มต้นจึงต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลเท่าที่มีอยู่

จากนั้นเมื่อมีการติดตามผลการรับประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถนำข้อมูลที่มีมากขึ้นมาใช้ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หาก Emerging Risk ใด ก่อให้เกิดความเสียหายสูงกว่าความคาดหมายมากเกินระดับที่กำหนดไว้

ก็อาจต้องมีการพิจารณายุติความเสี่ยงเพื่อควบคุมความเสียหายไม่ให้ส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง ซึ่งในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ก็ได้มีการกำหนดหลักการสำหรับการรับประกันภัยว่าไม่ควรรับประกันภัยรายเดียวหรือหลายรายรวมกันเพื่อวินาศภัยเดียวกัน เกินกว่า 10% ของเงินกองทุน เพื่อป้องกันไม่ให้วินาศภัยใดก่อให้เกิดความเสียหายจนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินได้ในที่สุด

นายอานนท์ กล่าวต่อว่า หลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่เรียกว่า Insurance Core Principles (ICPs) ซึ่งมีหลักการข้อที่ 24 หรือ ICP 24 ว่าด้วยหลักการ Macroprudential Supervision ซึ่งเป็นหลักการข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบประกันภัยและความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้

“ใน ICP 24 ได้ระบุชัดเจนว่าสำนักงาน คปภ. มีหน้าที่ในการระบุ ติดตาม และวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยและภาคธุรกิจประกันภัย และใช้ข้อมูลที่ได้รับในการระบุจุดเปราะบาง

รวมถึงกำหนดมาตรการในจัดการความเสี่ยงเชิงระบบที่กำลังเกิดขึ้นและผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป ทั้งในระดับบริษัทและในระดับธุรกิจหากมีความจำเป็น โดยผลกระทบเชิงระบบอาจเกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทบางบริษัทหรือทั้งภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง รวมถึงความเสี่ยงในรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่นของระบบการเงินหากบริษัทประกันภัยมีการเลิกกิจการ”

นายอานนท์ อธิบายต่อว่า ใน ICP 24 นี้ ยังได้มีการเขียนไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเจตนาในการออกกฎหมายเพื่อลดผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป อันเนื่องมาจากปัญหาเงินกองทุนและสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย หรือจาก Exposures ที่มีร่วมกันของกลุ่มของบริษัทประกันภัย

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ.อาจออกกฎหมายซึ่งปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และในการออกกฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น อาจจะอยู่ในรูปของ Rule-based ซึ่งจะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติหากเกิดเหตุการณ์ที่เข้าเงื่อนไขที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือในรูปของการใช้ดุลยพินิจหากมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจที่ชัดแจ้ง

การออกกฎหมายในรูปของ Rule-based จะมีความโปร่งใสมากกว่า แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยการประเมินอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของเงินกองทุนภายใต้สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย

เกณฑ์ในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ และมาตรการในการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ถูกบอกเลิก เนื่องจากเงินที่บริษัทประกันภัยใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนใหญ่นั้น มาจากเบี้ยประกันภัยจากการรับประกันภัยทุกประเภทซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยทุกประเภทกว่า 70 ล้านกรมธรรม์ หากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย COVID-19

ส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยต้องมีการปิดกิจการเพิ่มอีก ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยในวงกว้าง และกองทุนประกันวินาศภัยคงไม่สามารถรับภาระในการชดเชยค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้

“เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยในอนาคตอันใกล้ สมาคมฯ จึงได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อหาทางออกร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิด Outward Risks ซึ่งเป็นความเสี่ยงจากภาคธุรกิจประกันภัยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด

แนวทางแก้ปัญหายุติเคลมพุ่ง

ตามหลักการของ Insurance Core Principle 24 – Macroprudential Supervision โดยพยายามหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่และเสถียรภาพของระบบประกันภัยเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลังจากพิจารณาแนวทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้ว ได้มีการกำหนดเกณฑ์ร่วมกันหากจำเป็นต้องมีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ดังนี้

1.มีอัตราความเสียหายจากการรับประกันภัย COVID-19  ตั้งแต่ 400% ขึ้นไป หรือ

2.มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย COVID-19  ตั้งแต่ 4,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือ

3.มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย COVID-19  เกินกว่าร้อยละ 10 ของเงินกองทุน

เสนอมาตรการเยียวยาประชาชน

สำหรับมาตรการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้มีการพิจารณาร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

1.ได้รับเบี้ยประกันภัยคืน 100% จากบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก แทนที่จะได้รับเบี้ยคืนตามส่วนระยะเวลาความคุ้มครองที่เหลืออยู่ หรือ

2.เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ฉบับใหม่ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีเจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (ภาวะโคม่า) ด้วยทุนประกันภัย 5 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ที่ถูกบอกเลิก หรือ

3.เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฉบับใหม่ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองด้วยทุนประกันภัย 10 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19  ที่ถูกบอกเลิก หรือ

4.นำเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืนตามข้อ 1. มาซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ของบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก โดยจะได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2 เท่าของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืน
การบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบและเสถียรภาพของระบบประกันวินาศภัย

นายอานนท์ วังวสุ กล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยมีเจตนาดีที่จะนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงของประชาชนและภาครัฐอย่างเต็มความสามารถ โดยได้ร่วมกับสำนักงาน คปภ. พัฒนากรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพและการเงินให้กับประชาชน และช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐในเรื่องของการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและการชดเชยรายได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของเงินกองทุนที่มีอยู่ กอร์ปกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยังคงลากยาวต่อเนื่อง และค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นในระดับที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยและผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยอื่นอีกกว่า 70 ล้านกรมธรรม์

จึงทำให้สมาคมฯ ต้องแจ้งให้บริษัทสมาชิกที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอ จ่าย จบ ให้วิเคราะห์ผลการรับประกันภัยและทบทวนการบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนของบริษัทเนื่องมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยขอให้บริษัทสมาชิกประเมินค่าสินไหมทดแทนที่ได้เกิดขึ้นแล้วและที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต โดยเฉพาะกรณีหากมีการระบาดระลอกใหม่ขึ้น ว่าจะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนและฐานะการเงินของบริษัทจนทำให้ไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่

เนื่องด้วยภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงสำหรับการรับประกันภัย COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างคาดไม่ถึง ตามข้อมูลที่ได้นำเสนอในวันนี้ หากฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยใดไม่สามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกในอนาคต และจำเป็นต้องบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19


ขอเรียนให้ทราบว่า บริษัทประกันภัยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาในการเอาเปรียบหรือทอดทิ้งผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด แต่เป็นความจำเป็นและเป็นการบริหารความเสี่ยงที่พึงกระทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบกับผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบหากบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19  ต้องปิดกิจการเพิ่มอีกในอนาคต นอกจากนี้แล้ว หากบริษัทประกันภัยต้องปิดกิจการลง ก็จะส่งผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ ของบริษัทประกันภัยซึ่งไม่มีสิทธิรับเงินจากกองทุนประกันวินาศภัย เช่น โรงพยาบาล อู่ซ่อมรถ ตัวแทน นายหน้า พนักงาน และเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ ของบริษัทประกันภัย บริษัทประกันภัยจึงอาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจดังกล่าวในอนาคตเพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้เกิดในวงกว้าง และรักษาเสถียรภาพของระบบประกันภัยไว้