งบประมาณ 2566: ชลน่านผู้นำฝ่ายค้าน ชำแหละงบฯ สิ้นหวัง ทางตัน ส่อโกง

ชลน่าน ศรีแก้ว
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อภิปรายงบประมาณประจำปี 2566

หมอชลน่านผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายงบฯ’ 66 สิ้นหวัง ทางตัน ส่อโกง คว่ำวาระ 1 ไม่รับงบประมาณประยุทธ์ แต่จะยกมือให้งบประมาณฉบับเพื่อไทย “ประยุทธ์” สวนทันควัน ปมส่อโกงที่ผ่านมาใครติดคุก ใครหนีคดี

วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ที่รัฐสภาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญอย่างสูงยิ่ง เพราะเป็นการจัดงบประมาณปีสุดท้ายก่อนรัฐบาลครบวาระ ถ้าครบตามอายุของสภา 23 มีนาคม 2566 แต่เชื่อว่าอาจมีเหตุการณ์ที่ทำให้หมดอายุเร็วกว่านั้น

ชลน่าน ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายงบ 66
ชลน่าน ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายงบ 66

งบฯก้อนนี้มีความสำคัญ แม้ปี 2564-2565 พรรคร่วมฝ่ายค้านส่วนใหญ่มีมติไม่เห็นชอบในวาระรับหลักการ แต่ก็เห็นความจำเป็นและมีข้อเสนอแนะในการจัดทำงบประมาณ และพร้อมเป็นกรรมาธิการ แต่บอกได้เลยงบฯที่รัฐบาลเสนอมาไม่เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาประเทศเห็นหัวประชาชน ไม่ได้แก้ปัญหาประเทศ ดังนั้น 3.185 ล้านล้านบาท เราจึงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบว่จะให้ผ่านในชั้นรับหลักการหรือไม่

“มติพรรคร่วมฝ่ายค้านบอกชัดเจนว่าจากการดูเอกสารงบประมาณทั้งหมด แผนงานโครงการ ประโยชน์ที่จะได้รับ ประกอบกับสภาวการณ์ประเทศ ผู้บริหารงบประมาณ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่จะนำเงินไปใช้ เรามีข้อสรุปร่วมกันว่า เราไม่สามารถรับหลักการได้ เพราะการรับหลักการคือการทำลายประเทศ สู้เสียโอกาสไปบ้าง ไม่นานมาก และนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปจัดสรรใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า ประชาชนทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ตกงาน ลูกหลานไม่ได้เรียนหนังสือ ล้วนแต่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล สถานะของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตที่ยิ่งใหญ่ แต่รัฐบาลกลับรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บริหารงานไม่รู้เท่าทัน ขาดการวางแผนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะขาดการวางแผนระยะยาวที่จะนำแผนให้รอดพ้นจากวิกฤต ทำให้ประเทศอยู่ในภาวะรายได้หด รายจ่ายแพง หนี้สินขยายตัวอย่างมากมาย และรัฐบาลกลับไม่ใช้งบประมาณก้อนโตในการแก้ไขปัญหาประเทศ

เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้รัฐบาลบริหารงบประมาณก้อนนี้ต่อไป เพราะเป็นรัฐบาลหมดสภาพ ความหมดสภาพของรัฐบาล เรารู้ เราเห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ อภิปรายในสภาตอลดว่าเป็นรัฐบาลที่สิ้นสภาพไปแล้ว ไม่สามารถตอบโจทย์หรือบริหารสถานการณ์อะไรได้เลย ขาดวิสัยทัศน์ ขาดนโยบายที่สำคัญ ประชาชนทั่วไปบอกว่าบริหารด้วยวาจา แก้ตัว โยนโทษให้คนอื่น และพยายามเหนี่ยวรั้งที่จะอยู่ต่อสืบทอดอำนาจ ทั้งที่ตัวเองขาดความรู้ความสามารถ อีกทั้งนายกฯมีบุคลิกภาพแปรปรวนแบบหลงตัวเอง เรายากที่จะไว้วางใจให้บริหารงบฯก้อนนี้ได้

ยิ่งกระแสประชาธิปไตยฟีเวอร์ มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ประชาชนทุ่มเทคะแนน 1.4 ล้านเสียง แม้เป็นแค่จังหวัดหนึ่ง แต่กระแสผู้นำที่เขาเลือกขึ้นมาเมื่อเป็นคู่เทียบกับนายกฯ ยิ่งตอกย้ำบุคลิก ลักษณะ ภาวะผู้นำ การแสดงออกให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น ประชาชนจึงต้องการผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง

นพ.ชลน่านกล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ได้สร้างมรดกไว้ นอกจากก่อมหาวิกฤตทำให้ประชาชนรายได้ทรุด รายจ่ายพุ่ง หนี้สินเพิ่ม ยังฝากมรดกหนี้ที่ฝากไว้ก้อนแรก คือหนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ หนี้เสีย ระเบิดเวลาเศรษฐกิจ คนจนเพิ่ม ตกงานพุ่ง มาตรการซอฟต์โลนล้มเหลว เอกชนแห่ปิดกิจการ อีกทั้งสิ่งที่นากยฯมอบไว้ให้กับประเทศนี้ เมื่อออกนอกประเทศคราวใด มีเรื่องให้พวกเราเก็บมาระทมขมขื่นตลอดเวลา อีกทั้งใช้กฎหมายในการบังคับปกครอง จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมาลงทุนในไทยได้อย่างไร

ถ้าจะแก้วิกฤต ทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปด้วยดี นายกฯเป็นกองปัญหาของประเทศ ถ้าต้องการแก้ไข อันดับแรกสุดต้องเปลี่ยนผู้นำ จะเปลี่ยนด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ จะทำให้ประเทศพ้นวิกฤตได้จากผู้นำยุคใหม่ การเปลี่ยนนายกฯ งบประมาณก้อนนี้จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเปลี่ยนได้ ถ้า ส.ส.เห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนผู้นำ ก็ลงมติไม่รับหลักการ ทำให้นายกฯตัดสินใจได้ ไม่ยุบสภา ก็ลาออก

สิ่งที่ฝ่ายค้านพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด เพราะจะเป็นผู้ใช้งบประมาณต่อไป จึงต้องดูอย่างละเอียด ถ้าปล่อยไปงบประมาณก้อนนี้จะเป็นกับดักในการบริหาร จึงต้องจัดการงบฯใหม่ จึงไม่รับงบประมาณ

พบว่าการจัดงบประมาณฉบับนี้ พบทางตันทุกมิติ มีการซ่อนตัวเลขไว้อย่างแนบเนียน อีกทั้งรัฐบาลไม่สามารถนำไปสู่การตั้งงบประมาณที่เป็นแบบแผนที่ถูกที่เหมาะสม นโยบายงบประมาณเป็นแบบขาดดุล เพราะบอกว่าสามารถจัดเก็บรายได้เพียงแค่ 2.49 ล้านล้านบาท แต่ตั้งตัวเลขงบประมาณไว้ที่ 3.185 ล้านล้านบาท ดังนั้น ที่เหลือต้องกู้มา 6.95 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่ดันเพดานวงเงินที่สามารถกู้ได้ 7.1 แสนล้านเท่านั้น เพราะไปทำตัวเลขที่ภาครายรับ 2.49 ล้านล้านบาท ซึ่งพรรคฝ่ายค้านเชื่อว่าเก็บไม่ได้ สุ่มเสี่ยงมากที่จะผิดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง เป็นงบฯที่ตกแต่งไปตามตัวเลข แต่ไม่ตอบโจทย์วิกฤตประเทศ

นพ.ชลน่านกล่าวว่า นอกจากเจอทางตันของงบฯปี 2566 งบฯที่จัดลงแต่ละกระทรวงต่าง ๆ ยังไม่ตอบโจทย์กับภาวะวิกฤต ที่สำคัญยังไม่จัดลำดับความสำคัญให้กับประเทศ กลับจัดลำดับความสำคัญให้พวกพ้อง จึงเป็นงบฯ สิ้นหวัง ถ้าปล่อยให้งบประมาณฉบับนี้ผ่าน จะขยายผลให้ประเทศเจอวิกฤตใหญ่ ทำให้ประเทศชาติขาดโอกาส ประชาชนขาดความหวัง

ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ คือ ผู้ประกอบการ SMEs ถูกทำลาย แต่แทนที่จะได้รับงบประมาณสนับสนุนในการเป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจกลับถูกตัดงบฯ กลับไปเพิ่มงบฯความมั่นคง ซึ่งลดในเชิงตัวเลข แต่แฝงเร้นไปอยู่ในหมวดหมู่ต่าง ๆ งบฯความมั่นคงดูแลความปลอดภัยไซเบอร์สูงถึง 120% วิกฤตสงครามส่งผลกระทบด้านวิกฤตอาหารโลก เราบอกว่าเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นแหล่งผลิตอาหาร มีหรือไม่ที่จะจัดสรรงบประมาณไปฉกฉวยโอกาส นี่คือตัวอย่างของงบฯสิ้นหวัง

“และสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ เป็นงบฯส่อเอื้อประโยชน์ เป็นงบฯส่อโกง เม็ดเงินที่ลงไปในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่ากระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ส่วนของบูรณาการโลจิสติกส์ใช้ไปถึง 1.3 แสนล้าน แม้ว่าเรื่องโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น แต่วิธีการจัดงบฯเป็นงบประมาณที่ถูกเรียกค่าไถ่ พรรคแกนนำรัฐบาลที่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลเรียกค่าไถ่ ก็จำเป็น ถ้าไม่จัดงบฯให้ก็อยู่ไม่ได้ เพื่อจะอยู่ยาวต่อไปใช่หรือไม่ ดังนั้น อย่าปล่อยให้เขาเรียกค่าไถ่จนไม่สามารถออกจากวิกฤต อย่าคิดถึงพวกพ้อง คิดถึงประชาชนถึงจะอยู่ได้” นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ส่อว่าเป็นการใช้งบประมาณ ใช้ภาษีประชาชนไปลงในพื้นที่ที่คาดหวังว่าจะได้คะแนนนิยมจากการใช้งบประมาณ

“ถ้าเรามีโอกาสไปจัดงบประมาณ ประชาชนจะเจองบประมาณฉบับเพื่อไทยที่จะพาออกจากวิกฤต ว่าเป็นความหวังจริงหรือไม่ เป็นอนาคตจริงหรือเปล่า แตกต่างจากรัฐบาลนี้อย่างชัดเจน เป็นคู่เทียบได้เลย จึงเป็นเหตุผลที่ไม่รับงบประมาณฉบับนี้ เพราะเราจะรับงบประมาณฉบับใหม่ที่จัดโดยรัฐบาลชุดต่อไป คือ พรรคเพื่อไทย”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านว่า ที่นพ.ชลน่านกล่วว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณลงทุนลดลงกว่าที่เสนอไว้ว่า ในปีงบประมาณดังกล่าวเราเสนอเข้ามา 624,399 ล้านบาท แต่เมื่อถึงขั้นการพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ ขั้นกรรมาธิการวิสามัญได้มีการปรับลดรายจ่ายลงทุนลง 12,466 ล้านบาท ทำให้เหลืองบฯรายจ่ายลงทุนทั้งสิ้น 611,933 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 19.74 ของวงเงินอนุมัติ

“ใครตัดครับ ผมตั้งขึ้นมาแล้วใครตัด และเมื่อกี้ท่านบอกว่า ตัดแล้วไปไว้ใช้งบกลาง ผมไม่ได้สั่งใช้เองได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ต้องเสนอโครงการเข้า ครม. และงบประมาณดังกล่าวต้องปรับไปใช้ในโครงการที่ไม่ได้รับงบประมาณ โครงการอื่น ๆ ที่รออยู่ เพราะทุกปีที่เสนองบประมาณเข้ามา แม้จะมีงบประมาณตั้งไว้ 3 ล้านล้านก็ตาม แต่เสนอมาเกิน 50% เสนอมา 5 แสนกว่าล้าน กว่าจะปรับลดลงมาได้ก็ต้องให้สอดคล้องความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่นึกจะให้ใครก็ให้ ไม่เหมือนสมัยก่อนบางคน ท่านพูดมา ผมก็พูดไปนะ ได้มีการประกาศไว้ว่า ถ้าไม่เลือกก็ไม่ให้ ไปดูดิ๊ว่าแผนงานโครงการลงพื้นที่ทุกจังหวัดหรือไม่ ในเรื่องของการส่อโกงต่าง ๆ ก็ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรมไป ถ้ามีหลักฐานก็ฟ้องร้องกันไป ก็กรุณาย้อนกลับไปดูด้วยว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการยุติธรรม มีติดคุก มีหนีคดีหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว