สูตรเอาตัวรอด ลงทุนยามวิกฤต สไตล์ “โจ ลูกอีสาน” ขาใหญ่ตลาดหุ้นไทย

เตรียมตัวอย่างไร ให้เราอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจกำลังผันผวน แถมยังต้องสู้กับโรคระบาด และค่าครองชีพที่แสนแพง จากทั้งราคาน้ำมันและราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ทยอยปรับขึ้น จากผลพวงของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่พุ่งทะยาน

วันนี้ Prachachat Wealth EP ที่ 21 จะมาแจกสูตรเคล็ดลับการเอาตัวรอดในยามวิกฤต สู้ความผันผวนกับตลาดเงินและตลาดทุน

ไปร่วมพูดคุยกับคุณอนุรักษ์ บุญแสวง หรือพี่โจ-ลูกอีสาน นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไทย และอดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

Q : ถ้าดูสถานการณ์โลกและสถานการณ์ไทยในปัจจุบัน เรียกได้ว่าเข้าสู่ “ยุคข้าวยากหมากแพง” ทั้งจากผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น การบริหารพอร์ตในยามวิกฤตแบบนี้ จะบริหารพอร์ตอย่างไรให้เอาตัวรอด และผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ?

ผมมีคำพูดคำหนึ่งนะครับที่เคยจำได้คือเขาบอกว่า น้ำทั้งมหาสมุทร มิอาจสู้เกลือกำมือเดียว ความหมายของเขาคือทุกวันนี้เราถูกยัดเยียด ท่วมท้น ด้วยข่าวสารที่เข้ามาหาเรา และทำให้เราลงทุนอย่างไม่มีความสุข วิตกกังวลไปหมด เพราะข่าวสารมันไหลบ่ามาเยอะแยะเลย

แต่ถามว่าข่าวสารเหล่านี้มันสำคัญไหม ผมคิดว่ามันไม่อาจสู้ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เราสนใจได้ก็คือ กำไรของบริษัท

ถ้าเกิดกำไรของบริษัทดี เติบโต ต่อให้ทั่วโลกจะปั่นป่วนอย่างไร ผมว่าเราก็ไม่เดือดร้อน ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของเราเจอแพนิก เจออะไร ราคาหุ้นมันอาจจะลงไป แต่ถ้าบริษัทมันดี กำไรมันดี เดียวราคาหุ้นก็กลับคืนมา

ผมถึงบอกว่า ทุกวันนี้ วิธีการรับมือวิกฤตที่ดีที่สุด อาจจะเป็นการปิดหูปิดตา คือ ปิดหูปิดตากับสิ่งเร้าไม่สำคัญ แต่ไม่ใช่ปิดหูปิดตากับความจริง ถ้าเกิดบริษัทของเราไม่ดีจริง ๆ อันนี้เราต้องเปิดใจ เปิดตา แต่ถ้าเป็นข่าวสารทั่ว ๆ ไป ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็น Noise มันเป็นเสียงที่ทำให้เราหนวกหู และทำให้เราไม่มีสมาธิ ทำให้เราโฟกัสผิดจุด

หลายคนมาลงทุนระยะยาวไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่า ในระยะยาวเราจะเจอข่าวสารเยอะแยะมากมาย ซึ่งแน่นอนส่วนใหญ่คือข่าวร้าย และถ้าเกิดเราตกใจอยู่กับข่าวร้ายอยู่ตลอด เราจะลงทุนระยะยาวได้อย่างไร เราจะถือหุ้นได้อย่างไร บางครั้งเราต้องแยกแยะว่า อันไหนเป็น Noise อันไหนเป็น Fact เป็นความจริงนะครับ

Q : พอร์ตของเราจะหน้าตาเป็นอย่างไรครับในช่วงแบบนี้ ถือเงินสด หรือหุ้น หรือกองทุนรวม หรืออย่างไรครับ?

เท่าที่ผมลงทุนมา 20-30 ปี ผมการันตีอย่างหนึ่งนะครับว่า วิธีการลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จแน่นอนก็คือ การที่เรา ซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น สบายใจก็ซื้อหุ้น รู้สึกกลัวก็ขายหุ้น อันนี้ผมรับประกันได้เลยว่าเจ๊งแน่นอน ส่วนใหญ่คนที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เราควรจะถือหุ้นตลอดเวลา ยกเว้นอย่างเดียวถ้าเกิดเรามีเงิน แต่เราไม่สามารถหาหุ้นที่ดีได้ ราคาสมเหตุสมผลได้ อันนั้นเป็นข้อยกเว้นว่าเราอาจจะถือเงินสด

เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาผมว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ที่ตลาดหุ้นเป็นฟองสบู่อะไรอย่างนี้ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่เราจะถือเงินสดในตอนที่ตลาดแย่ ๆ ราคาหุ้นถูก ๆ ซึ่งจริง ๆ เราควรจะซื้อด้วยซ้ำ ถูกต้องไหมครับ

Q : อยากให้แนะนำนักลงทุนหน่อยครับว่า วิธีเลือกเทคนิคหุ้นในดวงใจ หรือว่าให้ผลตอบแทนดีในช่วงนี้ เป็นกลุ่มไหน เซ็กเตอร์ไหนครับ ?

ถ้าระยะสั้นนี้ ก็แน่นอนอาจจะมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อเข้ามา ปัจจัยที่จะกระทบก็คือ รัฐบาลหรือแบงก์ชาติส่วนใหญ่เขาก็จะขึ้นดอกเบี้ย ถ้าขึ้นดอกเบี้ยแน่นอนเราก็ต้องสนใจประเด็นนี้ ถ้าเกิดบริษัทที่เราลงทุนมีหนี้เยอะๆ เวลาดอกเบี้ยมันขึ้นแน่นอนรายจ่ายดอกเบี้ยก็เพิ่มขึ้น เราก็ต้องดูว่ามันกระทบอย่างมีนัยหรือเปล่า เพราะถ้ามันมีนัยแน่นอนมันก็อาจจะทำให้บริษัทของเรากำไรลดลง และราคาหุ้นอาจจะลดลงด้วย

เราก็เลือกบริษัทที่เขาไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้จากเงินเฟ้อ ธุรกิจที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่มันเพิ่มขึ้นให้กับผู้บริโภคได้ หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่ได้รับประโยชน์เต็ม ๆ จากเงินเฟ้อ ก็คือธุรกิจที่ผลิต Commodity ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ

แต่ระยะยาวแล้วนะครับ เทคนิคการเลือกหุ้นมันมีประเด็นใหญ่ ๆ 2-3 ประเด็นแค่นั้นเอง อันแรกเลยคือ บริษัทที่เราลงทุนกำไรจะต้องเติบโตเท่านั้น เพราะปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาหุ้นได้ดีที่สุดในระยะยาวก็คือกำไรของบริษัท

ประเด็นที่สองก็คือ เราเลือกบริษัทกำไรโต อาจจะยังไม่เพียงพอ ราคาที่เราซื้อหุ้นต้องเป็นราคาที่ไม่แพงเกินไปด้วย

ปัจจัยที่สามผมว่าอันนี้ก็สำคัญมาก อย่างช่วงนี้มีข่าวสารเยอะแยะมากมาย สงครามบ้าง เงินเฟ้อบ้าง มันเป็นสิ่งที่มาเร้าให้เราอยากขายหุ้น ผมก็เลยอยากแนะนำว่า ให้ถือหุ้นตลอดเวลา อย่าเป็นคนขี้ตกใจ ถ้าเกิดเราเป็นคนขี้ตกใจแนะนำเลยนะครับ อย่ามาลงทุนในหุ้น เพราะมันอาจจะไม่เหมาะสำหรับเรา