สปสช.เลิก Home Isolation ดีเดย์ 1 ก.ค.พร้อมชงยกเลิกแจก ATK ที่ร้านยา ส่วนประกันสังคมยังขยายให้บริการ HI ต่อไปก่อน ย้ำสามารถใช้บริการในสถานพยาบาลใกล้บ้านตามสิทธิเดิมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
วันที่ 30 มิ.ย.2565 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แจ้งว่าจะให้บริการระบบรักษาที่บ้าน(HI) ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2565 เท่านั้น และจะใช้ระบบเจอแจกจบ หรือ OPSI แทน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ส่วนประกันสังคมเท่าที่ทราบจะมีการขยายให้บริการ HI ออกไปอีก โดยจะมีการปรับตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพราะผลของการศึกษาทดลองพบว่า BA.4 BA.5 เชื้อไปที่เซลล์ปอดมากขึ้น แต่ข้อมูลในโลกจริงยังไม่มีระบุถึงความรุนแรงที่มากขึ้น
ขณะเดียวกันบอร์ด สปสช.เตรียมพิจารณายกเลิกแจกชุดตรวจ ATK ในร้านขายยา เนื่องจากตามหลักเกณฑ์ของกรมควบคุมโรค การตรวจ ATK จะทำต่อเมื่อมีอาการป่วยเท่านั้น ไม่ต้องมีการตรวจบ่อยครั้งเหมือนในอดีต โดยจะประชุมในวันที่ 4 ก.ค. นี้
ทั้งนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับของ สธ. ซึ่งผู้ติดเชื้อที่อาการไม่ได้มากจนต้องเข้ารับการรักษาใน รพ. เตรียมปรับระบบรักษาเป็นแบบผู้ป่วยนอก (OPD)
ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. อธิบายว่า ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขไทยจะพ้นการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ระบบการรักษาพยาบาลของประชาชนจะกลับสู่ภาวะปกติ
การป่วยโควิด ต่อไปก็จะเหมือนกับการเจ็บป่วยแบบไข้หวัดธรรมดา เมื่อมีการเจ็บป่วยก็ให้รักษาพยาบาลตามสิทธิรักษาเดิมที่มีอยู่โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นการไปใช้บริการในสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากแพทย์พิจารณาแล้วจำเป็นต้องมีการส่งตัวเข้ารับการรักษาใน รพ.อื่นก็จะใช้ระบบประเมินแล้วส่งต่อของ รพ.
“เดิมการระบาดของโควิด ช่วงแรกมีประชาชนป่วยมาก ทำให้หน่วยงานรัฐต้องระดมความช่วยเหลือจากภาคเอกชน ทำให้เมื่อป่วยโควิด สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที หรือ การเกิด Hospital
แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดของโควิดเริ่มดีขึ้น ก็ต้องมีการปรับระบบเข้าสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะโรคไม่ได้รุนแรงเหมือนเดิมอีกต่อไป”
ทั้งนี้สำหรับค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี 2563 ถึงปัจจุบันใช้งบประมาณมากกว่า 150,000 ล้านบาท