ค่าไฟ สิ้นสุดทางช่วย?

Photo by Frederic J. BROWN / AFP
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

การขึ้นหรือลด หรือประคองค่าไฟฟ้ามักมาควบคู่กับประเด็นทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ทั้งยังเป็นกระดุมเม็ดแรก ๆ ของภาคการผลิตที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าเกือบทั้งหมด

มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นมีมาเป็นระยะ จนถึงมาตรการปัจจุบันซึ่งใช้งบประมาณช่วยเหลือประมาณ 7,500 ล้านบาท เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2566 ซึ่งครอบคลุมถึงช่วงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง

จากการคำนวณของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2566 กรณีที่รัฐบาลไม่กำหนดให้แยก 2 ราคาแบบในปัจจุบัน ระหว่างประชาชนทั่วไปที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน กับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นที่จ่ายอยู่ 5.3325 บาทต่อหน่วย อัตราจะมาอยู่เท่ากันทั้งประเทศที่ 5.24 บาทต่อหน่วย

หมายความว่าภาคครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นมาก จากขณะนี้ที่จ่าย 4.7176 บาทต่อหน่วย หรือหมายถึงความช่วยเหลือได้สิ้นสุดลง

แม้ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาสรุปว่าจะมีปัจจัยเพิ่มเติมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอีก ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ LNG รวมถึงกำลังการผลิตก๊าซจากอ่าวไทย อัตราค่าเงินบาท ความต้องการใช้ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อประกอบการคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2566 ให้ชัดเจนในเดือนมีนาคม การปรับโครงสร้างค่าไฟเป็นเรื่องที่ต้องทำ

และต้องยอมรับความจริงว่า ปี 2566 การจะกลับไปใช้อัตราค่าไฟฟ้า ต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

ระหว่างการดิ้นรนรับมือกับสถานการณ์ระยะสั้น สิ่งที่ภาคการเมืองต้องนำเสนอประชาชนให้ได้ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งที่จะตามมานี้คือ นโยบายพลังงานในระยะยาวและยั่งยืน ที่จะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจและอุตสาหกรรมของภาคเอกชน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

คำเตือนจากภาคธุรกิจเอกชนหลายเซ็กเตอร์ที่มองเศรษฐกิจของไทยว่า “บุญเก่ากำลังจะหมด” แสดงให้เห็นแล้วในหลายด้าน รวมถึงด้านพลังงานที่กำลังเจอสภาพทรัพยากรลดลง ต้นทุนสูงขึ้น และคู่แข่งขันที่ได้เปรียบมากขึ้น

คำแนะนำจากพลังงานสะอาดของภาคเอกชนก็คือ รัฐบาลต้องเป็นผู้นำในการเร่งสปีดการปรับโครงสร้างพลังงานจากฟอสซิลสู่พลังงานสะอาดให้เร็ว เพิ่มการรับซื้อพลังงานสะอาดทุกประเภท ส่งเสริมสนับสนุนการใช้ EV ให้เป็นรูปธรรม และแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการผลักดันโซลาร์รูฟท็อป เป็นต้น

รัฐบาลใหม่ต้องวางเป้าหมายนี้ให้ชัด แทนที่การช่วยเหลือซึ่งไม่เพียงเงินหมด บุญเก่าก็หมดเช่นกัน