ไพร่หมื่นล้าน ดันพิธา เป็นนายกฯ

ไพร่หมื่นล้าน ดัน พิธา เป็นนายกฯ
คอลัมน์ สามัญสำนึก 
ผู้เขียน อิศรินทร์ หนูเมือง

ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) ผงาดขึ้นติดอันดับ 1 ของคนเกือบแสน ที่โหวตผ่านโพลมติชน-เดลินิวส์ หนุนให้เป็น “นายกรัฐมนตรีที่ใช่” ขณะที่นิด้าโพล ชื่อพิธา ก็จี้ติดแพทองธาร ชินวัตร จากเพื่อไทย

พิธาแจ้งเกิดจากการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก หลังการเลือกตั้ง 2562 ในนาม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เปิดวาทกรรม ทำเกษตรก้าวหน้าด้วยการติดกระดุม 5 เม็ด

ถัดจากนั้นไม่นานพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ กรรมการบริหารทั้งหมดถูกตัดสิทธิทางการเมือง ชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล

อายุงานการเมืองของพิธา ในฤดูการเลือกตั้ง 2566 นับได้เกือบ 5 ขวบปี อายุตัว 42 ปี (เกิด 5 ก.ย. 2524)

การเลือกตั้งครั้งนี้ เขารณรงค์หาเสียงแบบคู่ขนาน ร่วมกันตี ร่วมกันเดิน ระหว่าง “ธนาธรและพวก” กับ “พิธาและพรรค”

แสงสปอตไลต์ทางการเมืองที่ส่องไปถึงตัวตนของ “พิธา” ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเงาทาบทับจาก “ไพร่หมื่นล้าน” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงหมายเลข 1 ของพรรคก้าวไกล

แม้ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล จะเรียกตัวเองว่า ”ไพร่” แต่ด้วยทรัพย์สินครึ่งหมื่นล้านของธนาธร ในช่วงเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 25 พ.ค. 2562 ที่เขาแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อ 20 ก.ย. 2562 พบว่า เขาครอบครองทรัพย์สินร่วมกับนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา รวม 5,632,536,266.2 บาท

เฉพาะตัวนายธนาธรมีทรัพย์สินรวม 5,137,150,764.3 บาท จึงยากที่จะถอยห่างจากฉายา “ไพร่หมื่นล้าน”

ก่อนหน้าที่นายธนาธรจะได้เป็น ส.ส. 1 ปี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ติดอันดับเศรษฐินีไทย อยู่ในลำดับ 28 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 4.11 หมื่นล้านบาท

ในปี 2565 สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ติดโผอันดับเศรษฐินี ลำดับที่ 47 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 710 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท

อาจกล่าวได้ว่า ทั้งธนาธร ในฐานะอดีตรองประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท และมารดานางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ร่วมกันสร้างธุรกิจและตั้งเป้าปักธงเป็นบริษัทระดับรายได้แสนล้าน จึงไม่เหนือความคาดหมายที่ นางสมพร ติดโผทำเนียบ 50 มหาเศรษฐีของไทย ที่จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บสในขณะนั้น

เมื่อธนาธรเข้าสู่สนามแม่เหล็กการเมือง แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทของเศรษฐินีระดับสี่หมื่นกว่าล้าน เขาสถาปนาตัวเองไว้ตั้งแต่วันก่อนเปิดตัวพรรค ด้วยวรรคสำคัญผ่านบีบีซีไทยว่า “สำหรับผม ต่อให้รวยแค่ไหน ถ้าไม่มีอำนาจเหนือคนทั่วไปก็คือไพร่”

ว่ากันว่าตลอดห้วงเวลาในสนามการเมืองของธนาธร มีแม่เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องสังคมสงเคราะห์ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง อาทิ เมื่อ 16 เมษายน 2563 ปรากฏภาพของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะประธานของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท พร้อมด้วยมูลนิธิไทยซัมมิทพัฒนา นำเงินสดบรรจุถุงละ 2,000 บาท ข้าวสาร และหน้ากากอนามัย แจกประชาชนย่านบางพลี จ.สมุทรปราการ 500 ครัวเรือน

หรือกรณีต้องเผชิญกับการต่อสู้คดีรุกป่า บนโฉนดที่ดินใน จ.ราชบุรี ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ 30 ปีก่อน ที่ลูกชายจะเข้าสู่วงการเมือง ครั้งนั้น นางสมพรต้องออกมาเคลียร์ ว่าครอบครองที่ดินผืนดังกล่าวมา 30 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไร “จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง ลูกก็โดนยัดคดีร้ายแรงให้สารพัด ส่วนตัวฉันเองก็โดนร้องเรียนว่ารุกป่า กินป่า เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีใหญ่โต ฉันยืนยันตรงนี้ว่าที่ผืนนี้ ถึงจะซื้อมาถูกกฎหมายทุกประการ”

เมื่อเกิดเรื่องราวในชีวิตลูกชาย-ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เกิดรอยแตกแยกระหว่างพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เรื่องร้ายกลายเป็นดี มีผู้มีบารมีช่วยปัดเป่าชั่วข้ามคืน

5 ปีที่ธนาธร ไพร่หมื่นล้านอยู่ในสนามการเมือง แม่สมพรไม่เคยห่าง ตามคำที่แม่เคยกล่าวกับสื่อ ในวันแรกที่เปิดพรรคอนาคตใหม่ไว้ว่า “ฉันก็ห่วงความปลอดภัย ก็กลัวว่าเกิดไปทำอะไรกระทบกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพล เราก็ตาย…บอกเขาว่า หากขาดเหลืออะไรก็ให้บอกแม่”

แต่ความห่วง ความกลัวก็หมดไป เหลือแต่ความกล้า เมื่อได้รับคำยืนยัน-รับรอง จากผู้ใหญ่หลายวงการ “ครอบครัวฉันอยู่ในวงการธุรกิจมานาน รู้จักผู้ใหญ่ คนรุ่นฉัน มีทั้งในแวดวงทหาร ตำรวจ อัยการ เขาก็บอกลูกเราอยู่ในสายตาประชาชนแล้ว ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวนี้ใครจะมาเล่นงานในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้แล้ว”

แม่จึงเป็นกองหนุนของธนาธร จากไพร่หมื่นล้าน สู่ฐานะว่าที่ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นทั้งแสง-เงา และลมใต้ปีกของพิธา นายกรัฐมนตรีที่ถูกโหวตในโพลอันดับ 1