ประวัติศาสตร์ “ตลาดกาแฟ” เส้นทางผู้ส่งออกเบอร์ 1 ของบราซิล

coffee
คอลัมน์ : นอกรอบ
ผู้เขียน : ขัตติยาภรณ์ ด้วงแก้ว Bnomics ธนาคารกรุงเทพ

คิดสิ คิดสิ คาบูชิโน่ เอสเปรสโซ่ อาราบิก้า ท่อนฮุกติดหูของหญิงลีที่นำชื่อกาแฟมาแต่งเป็นเพลงสะท้อนถึงความนิยมในกาแฟ ใครไปไหนทำอะไรก็ต้องดื่มกาแฟ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว

แต่กว่าจะมาเป็นกาแฟที่ไม่ว่าใครก็ดื่มได้แบบทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกาแฟเคยถูกจำกัดให้เฉพาะคนชนชั้นสูงเท่านั้นที่ดื่มได้ แต่การก้าวเข้ามาของบราซิล เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดกาแฟกลายเป็น Mass Product ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ดื่มได้หมด และกลายมาเป็นผู้ส่งออกกาแฟเบอร์หนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน

Bnomics จึงได้หยิบประวัติศาสตร์ตลาดกาแฟในอดีตสมัยศตวรรษที่ 18-19 มาเล่า เพราะเป็นช่วงเวลาที่จะไขข้อสงสัยได้ว่า ทำไมบราซิลถึงก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่ง และทำให้เราทุกคนได้ดื่มกาแฟกันอย่างทุกวันนี้

ประวัติศาสตร์ “ตลาดกาแฟ”

ก่อนจะไปดูว่าทำไมบราซิลถึงก้าวเข้ามาเป็นเบอร์หนึ่งการส่งออกกาแฟ

สินค้าอย่าง “กาแฟ” ถูกเปลี่ยนมือจากมหาอำนาจมาหลายแห่ง โดยเริ่มจากตะวันออกกลางมีการขนส่งกาแฟผ่านคนกลาง ทำให้ค่าขนส่ง ภาษี และต้นทุนการค้าขายสูง ส่งผลให้ราคากาแฟสูงอย่างมาก ตลาดกาแฟจึงค่อนข้างเล็กและไม่ได้รับความนิยมมากนัก

ในช่วงศตวรรษที่ 18 แม้เจ้าอาณานิคมยุโรปจะเข้ามาผลิตในประเทศอาณานิคมของตนเอง เช่น Java Reunion Saint Domingue และ Jamaica แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราคากาแฟถูกลง เพราะรัฐบาลอาณานิคมต้องการให้กาแฟจำกัดในแวดวงชนชั้นสูง พ่อค้า นักธุรกิจเท่านั้น ผ่านการออกนโยบายเก็บภาษีสูง ในตอนนั้นชาวนาและกรรมกรไม่สามารถเข้าถึงกาแฟได้ พวกเขาจึงต้องดื่ม Chicory พืชสมุนไพรแทนการดื่มกาแฟ

ADVERTISMENT

แม้กาแฟถูกควบคุมโดยอาณานิคมยุโรปอย่าง ดัตซ์ อังกฤษ ฝรั่งเศส แต่การเข้าไปในครั้งนั้นไม่ใช่การพัฒนา แต่เข้าไปด้วยการบีบบังคับให้เกิดการผลิตผ่านการใช้แรงงานทาสทำให้การผลิตไร้ประสิทธิภาพ กาแฟราคาสูง ตลาดกาแฟจึงไม่ได้เป็นที่นิยมแพร่หลาย

ผู้เขียนขอหยิบยก St.Dominique เขตสำคัญในการผลิตกาแฟ ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสมาเป็นตัวอย่างในการอธิบายภาพรวมประวัติศาสตร์กาแฟในศตวรรษที่ 18

ADVERTISMENT

ในช่วงแรก ตลาดกาแฟเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในชุมชนอาณานิคมแถบ St.Dominique เนื่องจากคนบนเกาะพยายามเลียนแบบวัฒนธรรมชาวปารีสที่ดื่มกาแฟกันใน Coffeehouses ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงและชนชั้นนายทุน เพราะคนเหล่านี้ทำให้ความต้องการกาแฟแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ถูกจำกัดแค่เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น

ความต้องการกาแฟเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 1787-1789 St.Dominique สามารถส่งออกกาแฟได้เกือบเท่ากับการส่งออกน้ำตาล (น้ำตาลถือเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งในขณะนั้น) ส่งผลให้ St.Dominique กลายเป็นอันดับหนึ่งของการส่งออกกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แม้จะส่งออกได้เยอะ แต่ก็เป็นเหมือน “ดาบสองคม” เพราะหมายถึงต้องใช้แรงงานทาสจำนวนมากในการปลูกและเก็บเกี่ยวผลกาแฟจนนำไปสู่ความขัดแย้งและเลิกทาสทั่วโลก ซึ่งมาจากเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) เป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ทำให้ชาว Haiti (คนใน St.Domingue) ต้องยุติการผลิตกาแฟ ทำให้ผลผลิตลดลงจาก 40,000 เมตริตัน สู่ 9,000 เมตริกตัน ในปี 1818 ส่งผลให้ราคากาแฟโลกพุ่งสูงอย่างมาก

บราซิลขึ้นแท่นมหาอำนาจกาแฟ

ในช่วงศตวรรษที่ 18 กาแฟไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสูง ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถดื่มกาแฟได้ และบราซิลคือผู้ที่เข้ามาทำให้กาแฟมี “ราคาถูก” จนสามารถก้าวเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้

เหตุที่บราซิลถึงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งการส่งออกกาแฟในยุคศตวรรษที่ 19 มีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่ช่วยผลักดันให้บราซิลสามารถผลิตกาแฟเพื่อตอบรับกับความต้องการบริโภคกาแฟได้อย่างมหาศาล

ปัจจัยภายใน : ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถส่งออกกาแฟในราคาถูก

เพราะความโชคดีของบราซิลที่มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก และมีแรงงานทาสราคาถูก (ในช่วงปี 1900s บราซิลใช้แรงงานทาสถึง 1.5 ล้านคนในการผลิตกาแฟ)

เมื่อต้นทุนต่ำก็ขายในราคาถูกได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนเริ่มหันมาบริโภคกาแฟกันมากขึ้น จากที่เคยเป็นเครื่องดื่มที่เอื้อมไม่ถึง ก็สามารถซื้อดื่มได้ในราคาที่ถูก และทำให้การส่งออกกาแฟของบราซิลในช่วงปี 1822 ถึง 1899 พุ่งสูงขึ้นกว่า 75 เท่า

ช่วงเวลานั้นไม่มีประเทศอาณานิคมไหนสามารถจะแข่งขันเทียบเคียงกับบราซิลได้ ทั้งในเรื่องราคา รวมถึงตลาดที่บราซิลได้ครอบครอง ทั้งในประเทศอาณานิคมและสหรัฐอเมริกา อาจกล่าวได้ว่ามากกว่า 80% ของการส่งออกกาแฟไปทั่วโลกมาจากประเทศบราซิล

ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกสภาวะนี้ว่า Supply Induce Demand คือสภาวะที่คนขายสามารถทำให้เกิดความต้องการในการบริโภคได้ คือเมื่อกาแฟมีราคาถูกลงก็ดึงดูดให้คนหันมาดื่มกาแฟกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นอกเหนือจากเรื่องราคาถูก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บราซิลสามารถส่งออกได้เพิ่มมากขึ้น คือบราซิลมีการพัฒนาการขนส่งโดยสร้างเส้นทางรถไฟและท่าเรือ ทำให้มีต้นทุนการขนส่งระหว่างประเทศที่ต่ำลง

สหรัฐอเมริการับอิทธิพลดื่มกาแฟ

ปัจจัยภายนอก : ความต้องการบริโภคกาแฟเพิ่มสูงขึ้นจากสหรัฐอเมริกา

ผลพวงจากสภาวะ Supply Induce Demand เพราะกาแฟราคาถูกจึงดึงดูดให้คนหันมาบริโภคกาแฟมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ และประเทศที่ได้รับอิทธิพลนี้อย่างมากคือ “สหรัฐอเมริกา”

จากความพยายามของรัฐบาลในการออกนโยบายเพื่อช่วยให้คนบริโภคกาแฟมากขึ้น เช่น ในศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาออกนโยบายปลอดภาษีนำเข้ากาแฟ โดยลดระดับภาษีลงจาก 10 เซนต์ต่อปอนด์ ในปี 1812 ลงเหลือ 5 เซนต์ ในปี 1814 และฟรีสำหรับทุกคนที่ต้องการนำเข้ากาแฟ ทำให้การบริโภคต่อหัวของคนอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การนำเข้ากาแฟของสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 2,400%

สหรัฐอเมริกาคือฐานตลาดกาแฟขนาดใหญ่ จนกาแฟกลายเป็นสินค้า Mass Product ในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราการบริโภคต่อหัวสูง ทำให้บราซิลได้สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกกาแฟได้เป็นจำนวนมหาศาล

ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกายังคงบริโภคกาแฟเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเป็นผู้นำเข้ากาแฟมากกว่า 40% ของโลก และยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการนำเข้ากาแฟมากกว่า 60% เรียกได้ว่าเกินครึ่งของคนดื่มกาแฟบนโลกคือชาวอเมริกา ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ก็มีประเทศยุโรปเหนือ เช่น เบลเยียม เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสแกนดิเนเวีย

ด้วยสองปัจจัยนี้ ทำให้บราซิลก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจการส่งออกกาแฟจวบจนถึงปัจจุบัน