รู้จัก “GDP” ภาคเกษตร ตัวชี้วัดเศรษฐกิจรากหญ้า

คอลัมน์ ระดมสมอง

โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

 

GDP ย่อมาจาก gross domestic product หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หมายถึงผลรวมมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตได้ภายในประเทศในระยะเวลาหนึ่ง (ปกติ 1 ปี) โดยยึดอาณาเขตทางการเมืองเป็นหลัก ดังนั้น การคิด GDP จะมาจากรายได้ของประชาชนทุกคนที่ผลิตขึ้นในประเทศ รวมทั้งรายได้ของชาวต่างประเทศที่ผลิตขึ้นในประเทศด้วย

GDP ใช้เป็นตัวชี้วัดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการบริหารประเทศของรัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ทราบว่าทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละปีมีการเติบโตมากขึ้น หรือลดลงมากน้อยเพียงใด รวมทั้งใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม GDP เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมเท่านั้น ไม่สามารถใช้วัดการเติบโตของประเทศในทุกมิติ เนื่องจากไม่ได้สะท้อนถึงความอยู่ดีกินดีและคุณภาพชีวิตที่แท้จริงของคนในประเทศ

การคำนวณ GDP ของประเทศสามารถคำนวณได้จาก 3 ด้าน คือ ด้านรายจ่าย (expenditure approach) ด้านรายได้ (income approach) และด้านผลผลิต (production approach) โดยการคำนวณ GDP ทั้ง 3 ด้าน จะมีค่าที่เท่ากันเสมอ

ด้านรายจ่าย เป็นรายจ่ายทั้งหมดที่นำไปซื้อสินค้าและบริการชั้นสุดท้าย ซึ่งประกอบด้วยรายจ่าย 4 ประเภท ได้แก่ การอุปโภคบริโภคของครัวเรือน การลงทุนของภาคเอกชน การใช้จ่ายของรัฐบาล และการส่งออกสุทธิด้านรายได้ เป็นรายได้ทั้งหมดที่เจ้าของปัจจัยการผลิตได้รับหรือเป็นผลรวมของค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกำไรด้านการผลิต เป็นมูลค่าเพิ่ม (value added) ที่มาจากการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยวัดจากส่วนต่างระหว่างมูลค่าการผลิต และค่าใช้จ่ายขั้นกลางในการผลิต

นายวีณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึง GDP ภาคเกษตรว่า เป็นการคำนวณ GDP ทางด้านการผลิตของภาคเกษตร ซึ่งมาจากกิจกรรมการผลิตทางการเกษตร ประกอบด้วย สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ เป็นการหาผลรวมของมูลค่าสินค้าเกษตรและบริการทางการเกษตรทั้งหมด หักด้วยค่าใช้จ่ายในการผลิต (ค่าพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ปุ๋ย สารเคมี อาหารสัตว์ น้ำมันเชื้อเพลิงและหล่อลื่น ยกเว้นค่าจ้างแรงงาน)

เนื่องจากผลผลิตสินค้าเกษตรมีหน่วยที่แตกต่างกันในแต่ละสินค้า จึงจำเป็นต้องรวมกันในรูปแบบของมูลค่า เป็นมูลค่าที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เช่น รายไตรมาส รายปี อาจเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านราคาและปริมาณ ดังนั้น จึงต้องขจัดผลการเปลี่ยนแปลงด้านราคาหรือผลทางด้านเงินเฟ้อออกไป เพื่อสะท้อนถึงปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรและบริการทางการเกษตรหรือเกิดขึ้นจริงในปีนั้น หรือสะท้อนศักยภาพการเติบโตของภาคเกษตรที่แท้จริง

สำหรับอัตราการขยายตัวของ GDP ภาคเกษตรในแต่ละไตรมาส จะต้องพิจารณาถึงสินค้าเกษตรสำคัญที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงในแต่ละไตรมาสเช่น ไตรมาส 1 (เดือน ม.ค.-มี.ค.) สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ อ้อยโรงงาน ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวนาปรัง ดังนั้น หากสินค้าเหล่านี้มีผลผลิต

และราคาสูงขึ้น หรือปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนการผลิตไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ย่อมทำให้ GDP ภาคเกษตร มีแนวโน้มไปในทางบวก สำหรับอัตราการขยายตัวของ GDP ภาคเกษตรรายปี จะพิจารณาจากแนวโน้มผลผลิตราคา ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรสำคัญมูลค่าสูงในแต่ละปี

วิธีการเช่นเดียวกับรายไตรมาสGDP ภาคเกษตรเป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจการเกษตรในภาพรวมของประเทศ ทำให้ทราบว่าภาคเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาหรือปีอื่น ๆ และทราบถึงโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร ความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตร และใช้เปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างประเทศ และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวิเคราะห์สถานการณ์ศรษฐกิจการเกษตร เพื่อกำหนดแนวทางหรือเป้าหมายแผนพัฒนาการเกษตรและนโยบายด้านเกษตร

อย่างไรก็ตาม GDP ภาคเกษตร จะสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของเกษตรกรแต่เพียงในภาพรวมเท่านั้น หากต้องการมองถึงความอยู่ดีกินดีและการกระจายรายได้ของเกษตรกร ต้องพิจารณาละเอียดถึงรายได้เฉลี่ยต่อหัว สัดส่วนหนี้สินต่อทรัพย์สิน สัดส่วนคนจน และความไม่เท่าเทียมกัน เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละพื้นที่และแต่ละครัวเรือนมีความแตกต่างกัน

และจากผลการสำรวจความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในภาคเกษตร พบว่า มีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้นตามการพัฒนาการเกษตรของประเทศและการเติบโตของ GDP ภาคเกษตร โดยข้อมูลความเหลื่อมล้ำทางรายได้ภาคเกษตรช่วงปี 2539-2559 มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากสัดส่วนรายได้ทั้งหมดที่เกษตรกรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 2 กลุ่มแรก ซึ่งถือว่าเป็นคนจนภาคเกษตรมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุดมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.74 ปี 2539 เป็นร้อยละ 5.33 ในปี 2559 กลุ่มที่มีรายได้น้อยลำดับถัดมา มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.669 ในปี 2539 หรือมีสัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 72.46 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 21.67 ในปี 2559

ดังนั้น การยกระดับรายได้ของครัวเรือนเกษตรให้สูงขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในภาคเกษตร ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯให้ความสำคัญ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมพัฒนาอาชีพตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้การใช้ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสม การใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นฐานข้อมูล zoning ส่งเสริมการรวมกลุ่มทางการตลาด สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนการส่งเสริมและจัดทำบัญชีครัวเรือนและสร้างอาชีพเสริม ตามแผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯมีเป้าหมายในการยกระดับรายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรให้เพิ่มขึ้นเป็น 59,460 บาทต่อครัวเรือนต่อปี เมื่อสิ้นสุดแผน ซึ่งหากเกษตรกรแต่ละกลุ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นย่อมจะส่งผลให้ GDP ภาคเกษตรขยายตัวตามไปด้วย