คอลัมน์ ช่วยกันคิด
โดย ดร.อนันตโชค โอแสงธรรมนนท์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ในรอบปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา Google trend แสดงให้เห็นว่าบุพเพสันนิวาส เป็นคำที่มีคนไทยค้นหามากที่สุด ตามด้วยบอลโลก 2018
เมีย 2018 เลือดข้นคนจาง และสัมปทานหัวใจ ในขณะที่คำว่า “ความสามารถในการแข่งขัน” หรือ “competitiveness” ได้รับความสนใจและมีการค้นหาที่น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขัน หรือ competitiveness มีความสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตของเรามากกว่าที่คิด
competitiveness คือความเก่งและความแกร่งของประเทศ World Economic Forum หรือ WEF ได้ให้นิยามของ competitiveness คือปัจจัยและสภาพแวดล้อมทางด้านนโยบายและสถาบันที่ส่งผลต่อผลิตภาพการผลิต (productivity)ของประเทศ competitiveness ยังหมายถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือผลกำไรตามความต้องการของตลาดได้โดยที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ง่าย
อีกทั้ง competitiveness ยังมีความเป็นพลวัต ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้น การวิเคราะห์ competitiveness ต้องมองเป็นองค์รวมทั้งระบบ ทั้งนี้ทั้งนั้น competitiveness ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของ competitiveness มาอย่างน้อย 58 ปี ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2506) และได้กลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)
competitiveness เป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นและสามารถสร้างได้ทั้งจากการเพิ่มรายได้และการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มรายได้ต้องมาจากการตอบโจทย์ของผู้บริโภค (pain point) โดยอาศัยการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม การลงทุนในการวิจัยพัฒนาเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จะเป็นเสมือนกำแพงที่ทำให้คู่แข่งหน้าใหม่ไม่สามารถตามทันได้ง่าย แต่สำหรับคู่แข่งที่มีความสามารถใกล้เคียงกันจะต้องมีระบบปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อป้องกันการเลียนแบบโดยไม่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ การเพิ่มรายได้ยังทำได้โดยการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ที่ประทับใจและเลียนแบบได้ยาก เช่น วัฒนธรรม อาหาร ความใส่ใจในการให้บริการลูกค้า ในขณะที่การลดต้นทุนจะเกิดจากนวัตกรรมทางด้านการบริหารจัดการ การผลิต และการให้บริการ เช่นการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence : AI) มาใช้ในการผลิตและการให้บริการ
ที่ผ่านมา competitiveness ของอุตสาหกรรมของไทยส่วนใหญ่มักเน้นด้านการบริหารต้นทุน ในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญในระดับภูมิภาคและระดับโลกในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาคบริการของไทยมีจุดแข็งอยู่ที่การสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจ คุณภาพการให้บริการที่ดี และต้นทุนการให้บริการที่ถูก ในภาพรวมไทยมีความสามารถในการแข่งขันระดับปานกลาง และเป็นที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิม ค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นและจำนวนแรงงานและผู้บริโภคที่ลดลงจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในขณะเดียวกันไทยยังคงขาดความสามารถในด้านการวิจัยพัฒนาและการสร้างนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับรายงาน Readiness for the Future of Production Report 2018 ของ WEF ได้จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศ legacy ที่มีโครงสร้างการผลิตที่เข้มแข็งในปัจจุบัน แต่ขาดความพร้อมสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต
ภาคการท่องเที่ยวไทยเริ่มเผชิญกับความเสี่ยงด้านความยั่งยืน เนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่มีมากเกินไปในบางพื้นที่ รายงาน Travel and Tourism Competitiveness Report 2017 จัดอันดับให้ไทยได้อันดับที่ 7 ของโลกทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ แต่ได้รับอันดับที่ 122 ทางด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่บริการด้านสุขภาพต้องมีการปรับสมดุลระหว่างการให้บริการชาวไทยกับชาวต่างชาติ รายงาน IMD World Competitiveness Yearbook 2017 แสดงให้เห็นว่าความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยอยู่ในอันดับที่ 60 จากทั้งหมด 61 ประเทศ ดังนั้น ถ้าไทยไม่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ competitiveness ที่เคยมีอยู่ก็จะหายไปพร้อมกับโอกาสที่ไทยจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขสำหรับ competitiveness ใหม่อย่างเร่งด่วน ถ้าหากต้องการหลุดพ้นจากกับดับรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่พัฒนาซึ่งมีรายได้สูง โดยการปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีของโลก การต่อยอดจากจุดแข็งเดิม และการปรับพื้นฐานสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนา competitiveness ใหม่ ๆ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ไทยต้องพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล ข้อมูล และ AI ไทยต้องใช้จุดแข็งในการเป็นฐานการผลิตระดับโลก เพื่อรองรับการผลิตของอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ชิ้นส่วนอากาศยาน และเครื่องมือทางการแพทย์ พร้อมกับการยกระดับการวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรมควบคู่ไปด้วย
ในขณะเดียวกันไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีฐานการบริการทางการแพทย์ระดับโลก และมีความเป็นไทยที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจุดเด่นเหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นเศรษฐกิจฐานชีวภาพ อุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ครบวงจร และการท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีอัตลักษณ์ความเป็นไทย
ทั้งนี้ ไทยต้องสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมทั้งในภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในด้านระบบคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านโลจิสติกส์ ด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเครือข่าย5G และด้านข้อมูลต้องมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีภาครัฐที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ ไปถึงในระดับความคิดของประเทศไทยในระดับที่ไม่ต่างจากการเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป com-petitiveness ของประเทศต้องได้รับการทบทวนและปรับเปลี่ยนเพื่อให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย หากประเทศไทยปรับตัวไม่สำเร็จ จะสูญเสีย competitiveness ที่มีอยู่ โดยที่ปราศจาก competitiveness ด้านใหม่ ๆ มาทดแทน ถ้าหากไร้ซึ่ง competitivenessประเทศไทยก็จะไร้ซึ่งอนาคตเช่นกัน