เราน่าจะอยู่กันอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้

คอลัมน์ เปิดมุมมอง

โดย ศัลยเวทย์ ประเสริฐวิทยาการ ทีมกรุ๊ป

โลกของเราทุกวันนี้ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้นทุกวัน มีหลายสิ่งแปรผันเปลี่ยนแปลง มีอะไรต่อมิอะไรมาแย่งความสนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลาย ๆ ท่านอาจจะลืมนึกไปว่า พวกเรากำลังอยู่ในห้วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลงอันนี้ที่จะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน โดยเฉพาะเรื่องสถาปัตยกรรมและผังเมือง ที่พวกเราใช้เวลาแทบจะทั้งชีวิตอาศัยอยู่ จะว่าไปแล้ว ประวัติศาสตร์เชิงสถาปัตยกรรมและผังเมืองเองนั้น จริง ๆ แล้วมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก…

สถาปัตยกรรมที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้มีสภาพไม่ต่างจากเมื่อหลายร้อยปีก่อนสักเท่าไหร่นัก เรายังคงมีเสา มีคาน มีช่องหน้าต่าง มีหลังคา มีบันได ระดับของความเปลี่ยนแปลงนั้นออกจะมีอยู่ที่เปลือกนอกของสถาปัตยกรรมเท่านั้น

สิ่งที่ปฏิวัติที่เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มากที่สุด น่าจะเป็นลิฟต์กับบันไดเลื่อน ซึ่งเอื้อให้ผู้คนสามารถอาศัยอยู่ในอาคารที่ใหญ่มาก ๆ หรือสูงมาก ๆ ได้ พอ ๆ กันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเมืองสมัยใหม่ได้มากที่สุด ก็คือรถยนต์ เมื่อรถยนต์กลายเป็นของที่ใครก็หาซื้อมาได้ เมืองทุกเมืองทั่วโลกก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพิ่มถนนหนทางเพื่อให้รถยนต์เข้าไปถึงได้ บริเวณไหนที่มีถนนตัดผ่านก็จะมีมูลค่าสูง เป็นเหตุให้คนเก็งกำไร หรือพัฒนาที่ดินกันต่อไป อย่างเมืองกรุงเทพมหานคร ที่เดิมทีมีคูคลองลำรางจำนวนมาก ก็ต้องถูกถมเพื่อปรับสภาพกัน

ถ้าการทำนายอนาคตระยะไกลเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เราน่าจะมาเริ่มกันที่เรื่องใกล้ ๆ อย่างรถยนต์กันก่อน เอาจริง ๆ คนกรุงเทพฯ ใครก็อยากมีรถ เพราะถึงแม้ว่าจะมี mass transit พัฒนาขึ้นมามากแล้วก็ตาม แต่เมืองของเรามีโครงสร้างพื้นฐานที่ยังเดินทางไปในหลาย ๆ ที่ยังไม่ค่อยสะดวก อย่าว่าแต่อากาศร้อน หรือฝนที่ตกแบบคาดเดาไม่ค่อยได้รถยนต์จึงเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากได้

…บางคนตัดสินใจซื้อรถยนต์ก่อนความจำเป็นอื่น อย่างเช่น บ้าน เสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ค่าเสื่อมราคาสูงมาก ถอยออกมาจากโชว์รูมก็เริ่มต้นขาดทุนแล้ว บางคนซื้อมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีที่จอดรถของตัวเองเป็นหลักเป็นแหล่งเสียด้วยซ้ำ เพราะคอนโดฯใจกลางเมืองรุ่นใหม่ ๆ ไม่สามารถจะมีที่จอดรถได้ 100% สักเท่าไหร่นัก

แต่เรื่องราวนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะเทคโนโลยีเรื่องยานพาหนะไร้คนขับนั้นอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิดมาก ในเวลานี้บริษัทชั้นนำของโลกไม่ต่ำกว่า 10 บริษัทกำลังแข่งขันกันพัฒนาเรื่องนี้ หรือกำลังทำงาน ทำข้อตกลงร่วมกัน อย่างเช่น Honda กับ Waymo ของค่าย Google หรือ Renault-Nissan กับ Microsoft หรือ Volvo กับ Uber และน่าจะสามารถทำให้ผลิตออกมาขายได้กันในช่วงเวลา 2-3 ปีจากนี้เท่านั้นเอง

เมื่อมีรถยนต์ที่สามารถขับได้ด้วยตัวเองออกมาในตลาด วิธีคิดวิธีการอยู่อาศัยของบุคคลจะเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เพราะรถยนต์ปกตินั้นเราท่านซื้อกันมาขับเอง ใช้เอง วันละ 3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง ก็เยอะมากแล้ว ที่เหลืออีกราว 20 กว่าชั่วโมงนั้นจอดทิ้งไว้เฉย ๆ เสื่อมราคาไปทุกวินาที และเมื่อรถยนต์สามารถขับเองได้ เวลาที่เราไม่ใช้มัน เราจึงไม่ควรปล่อยมันจอดไว้ เราสามารถส่งมันออกไปทำงานหาเงินแทนเราได้ การซื้อรถยนต์อาจจะไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองอีกต่อไป และถือได้ว่าเป็นการลงทุนด้วยซ้ำ

เมื่อคิดกันเรื่องนี้ต่อว่า ถ้าเราไม่ต้องการจอดรถยนต์ไว้เฉย ๆ เพื่อให้เสื่อมราคาไป เอาจริง ๆ เราก็เริ่มที่จะไม่ต้องการที่จอดรถยนต์เหมือนกัน ลองคิดดูว่า ในใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯนั้น อาคารใหญ่แทบทุกอาคารต้องมีที่จอดรถจำนวนมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ต้องการที่จอดรถจำนวนมากเหล่านี้อีกต่อไป พื้นที่จำนวนหลายล้านตารางเมตรจะถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ประโยชน์ใช้สอยได้ พื้นที่ขายทั้งหลายของโครงการต่าง ๆ อาจจะกลายเป็นล้นตลาดในชั่วเวลาข้ามคืน

ตัวรถยนต์เองนั้นบางทีก็อาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการออกแบบไปเหมือนกัน เพราะไม่ต้องการคนนั่งขับต่อไปแล้ว รถก็จะกลายสภาพเป็นเหมือนห้องห้องหนึ่ง ที่ผู้คนสามารถจะใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชีวิตได้ อย่างเช่น การทำงาน การประชุมหารือ

การนอนหลับ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกาย ที่จอดรถยนต์น่าจะกลายเป็นของสิ้นเปลืองอย่างแรง เผลอ ๆ จะมีราคาแพงมากกว่ายูนิตของคอนโดฯ หรือสำนักงานทั่วไปก็ได้ เพราะต้องสร้างทางสัญจร หรือเครื่องจักรที่จะพารถยนต์เข้าไปในที่จอดรถยนต์ก็ต้องพยายามใช้พื้นที่ foot print ให้คุ้มค่าที่สุด รูปทรงน่าจะต้องกลายเป็นกล่อง หรืออาจจะเริ่มที่บางคนใช้ชีวิตทั้งอาศัยและพักผ่อนนอนหลับในรถเสียเลย แล้วปัญหารถติด ต่อไปคงเอามาใช้เป็นเหตุผลในการมาตามนัดสายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

สภาพของเมือง หรือสาธารณูปโภคของเมือง คงจะต้องถูกปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก เพื่อให้เหมาะสมกับวิถี และวิธีการใช้ชีวิตของผู้คน และพวกเราก็ควรที่จะต้องพยายามมองไปในอนาคตอย่างสุดความสามารถที่เราจะทำได้ และเตรียมการรับสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อคนรุ่นลูกหลานของเรานั่นเอง