วิธีการสร้าง “ห่วงโซ่อุปทาน” ที่มีความรับผิดชอบในยุค 4.0

คอลัมน์ เปิดมุมมอง

โดย ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์

 

ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ ล้วนพึ่งพาห่วงโซ่คุณค่าเพื่อการส่งมอบสินค้าและบริการไปทั่วโลกแบบไร้รอยต่อร่วมกันทั้งสิ้น ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกล้วนเกี่ยวพันกับชีวิต รวมถึงความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของบรรดาธุรกิจต่าง ๆ เกษตรกรและผู้บริโภคจำนวนมาก ความรับผิดชอบและการแสดงออกถึงหน้าที่จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งพวกเขาต้องยึดถือ นั่นคือต้องแน่ใจว่าห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกมีบทบาทในการบรรเทาปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดจนยังประโยชน์แก่ทุกชีวิตในห่วงโซ่คุณค่านั้น

ในภูมิภาคเอเชียเอง นอกจากความท้าทายซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและการหาแนวทางบริหารจัดการให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเมือง การค้า และเศรษฐกิจแล้วยังมีความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ที่ห่วงโซ่อุปทานโลกมีส่วนเกี่ยวโยงอีกมากมาย

มลพิษพลาสติกที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ข้อมูลจากศึกษาวิจัยชี้ว่า 5 ประเทศในภูมิภาคนี้ทิ้งขยะพลาสติกลงสู่มหาสมุทรรวมกันมากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลกที่เหลือ มลพิษทางอากาศและน้ำที่รุนแรงทำให้บางเมืองในทวีปเอเชียเป็นสถานที่ซึ่งมีมลพิษมากที่สุดในโลก ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อสภาพอากาศอันรุนแรงและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

การใช้แรงงานทาสในปัจจุบันก็ยังคงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ซึ่งมีผลกับคนกว่า 40 ล้านชีวิต โดย 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ได้รับผลกระทบอยู่ในทวีปเอเชีย

ADVERTISMENT

การแก้ปัญหาบรรจุภัณฑ์พลาสติก ของเสีย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิทธิแรงงาน ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาที่ซับซ้อนสำหรับองค์กรในการแก้ไขเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ประชากรโลกซึ่งคาดว่าจะแตะ 9 พันล้านคน และการผลิตอาหารโลกที่จะต้องเพิ่มขึ้น 60% ภายในปี 2593 จากการคาดการณ์ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ

อุปสงค์ซึ่งเพิ่มขึ้นนี้จะผลักดันให้ปริมาณการผลิตอาหารสูงขึ้นมหาศาล นำไปสู่ความท้าทายอื่น ๆ อาทิ อุปทานน้ำ การใช้ประโยชน์จากที่ดิน การตัดไม้ทำลายป่า และความหลากหลายทางชีวภาพอันเกินดุล จำเป็นต้องมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่ต่อการตรวจสอบย้อนกลับและความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน

ADVERTISMENT

เราสามารถช่วยเพิ่มความโปร่งใสให้กับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและกระบวนการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ฝึกอบรมบุคลากรและซัพพลายเออร์ โดยภาคธุรกิจต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกับรัฐบาล องค์กรสาธารณประโยชน์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ผ่านช่องทางทั้ง 3 นี้

ประการแรก เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน ซึ่งกล่าวถึงก่อนหน้านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายโดยองค์กรใด หรือประเทศใดเพียงลำพัง ทว่าต้องการความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลก

สิ่งนี้คือแรงจูงใจให้กลุ่ม ซี.พี. เป็นหัวหอกในสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กต์แห่งประเทศไทยขององค์การสหประชาชาติ เพื่อผลักดันโครงการด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต

เครือข่ายนี้เติบโตขึ้นในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีบริษัท 40 แห่งในไทย ทำงานร่วมกับรัฐบาล ส่งเสริมการดำเนินการตามหลักปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติ ว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนในการประกอบกิจการผ่านการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน การหารือ และการฝึกอบรม เพื่อส่งเสริมให้มีแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น

ในอุตสาหกรรมอาหารทะเล เราได้เห็นผลการดำเนินงานของ Seafood Taskforce หรือพันธมิตรความร่วมมือระหว่างบริษัทค้าปลีกอาหารทะเลชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ผู้ผลิตอาหารทะเลไทย และองค์กรระหว่างประเทศอิสระ ในการพัฒนาและส่งเสริมระบบตรวจสอบย้อนกลับ การปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการทำประมงเกินขนาด

นอกจากนี้ เราเห็นถึงความสำคัญของการมีคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable หรือ TSFR) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสมาคมอุตสาหกรรมการประมง องค์กรเพื่อการทำการประมงอย่างยั่งยืน และกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลประจำประเทศไทย เพื่อพัฒนาแนวทางการจับปลาอย่างยั่งยืนในอ่าวไทย และทะเลอันดามันด้วย

ประการที่สอง เทคโนโลยี กระบวนการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม ยังเป็นกำลังสำคัญในการนำความสามารถด้านการตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกได้มากขึ้น เราได้เห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยีการผสมผสานชั้นสูง อาทิ หุ่นยนต์ การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และเซ็นเซอร์ เพื่อช่วยให้ฟาร์มไก่และไข่ ฟาร์มสุกรแบบผสมผสาน และโรงงานผลิตถูกสุขอนามัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ระบบดาวเทียมช่วยให้เกษตรกรหาทำเลพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมได้ ส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต (IOT) ช่วยให้ระบบชลประทานจัดการการใช้น้ำได้ดีขึ้น เครือข่ายการเก็บข้อมูลแบบบล็อกเชนช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานโปร่งใส ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดตามสินค้าได้ตลอดกระบวนการผลิต

การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยีดาวเทียม เทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทค หุ่นยนต์ แสดงให้เห็นว่าเมื่อปรับใช้เทคโนโลยีเหมาะสมช่วยให้เราเข้าใจโรคภัยต่าง ๆ ที่เกิดกับสัตว์ ระบาดวิทยา วงจรชีวิตสินค้า รับประกันว่าฟาร์มเรามีความยั่งยืนมากขึ้น

ประการสุดท้าย การฝึกอบรมและการมีส่วนร่วมของพนักงาน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน มีบทบาทสำคัญในการประกันว่ามีการนำหลักการความรับผิดชอบมาใช้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า เราได้เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของผู้นำรุ่นใหม่ และนั่นคือเหตุผลที่เราฝึกอบรมบุคลากรให้เป็นตัวแทนของความยั่งยืน และให้อำนาจแก่พวกเขาให้นำความรู้และเป้าหมายกลับไปพัฒนาภาคส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ

เราได้ก่อตั้งสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ เพื่อฝึกอบรมผู้บริหารรุ่นใหม่ในแต่ละปี เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจไปพร้อมกับการเห็นคุณค่าของความรับผิดชอบต่อสังคม เราให้พวกเขาได้ลงมือทำโครงการธุรกิจจริง เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงออกถึงวิธีคิดใหม่ ๆ รวมถึงมีความเข้าใจในผลลัพธ์ทางสังคม หรือคุณค่าต่อสังคมของธุรกิจของเรา เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงทิศทางใหม่ ๆ ของเหล่านวัตกร

ผู้มองเห็นประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง (disruptor) พนักงาน และผู้บริโภครุ่นต่อไปของเรา เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา และปรับตัวเข้ากับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

ภาคธุรกิจสามารถเป็นกำลังให้เกิดสิ่งดี ๆ ในห่วงโซ่อุปทานโลกได้ หากเราเร่งสร้างพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง รวมถึงใช้ประโยชน์จากกระบวนการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยี และฟังเสียงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา

ผมเชื่อว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องมีบทบาทในการส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานอันยั่งยืน และเราจำเป็นต้องกำหนดเหตุผลทางธุรกิจ (business case) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบ สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกร และผู้จัดส่งสินค้าวัตถุดิบ (supplier) ยินดีและเต็มใจเป็นผู้จัดส่งผลิตภัณฑ์วัตถุดิบที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของเรา ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบมากขึ้น

และทั้งหมดนี้คือด้วยการทำงานร่วมกันเท่านั้น จะทำให้เราสามารถสร้างความแตกต่างสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างแน่นอน ซึ่งหมายถึงการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรและซัพพลายเออร์มีความรับผิดชอบมากขึ้น

รวมถึงสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานของเรายึดแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบมากขึ้น มันคือการทำงานร่วมกันเพื่อรังสรรค์สิ่งที่แตกต่าง