พลิกโฉม Business Model สู่ยุค 5G ไม่เปลี่ยนจะเป็นฝ่ายถูกเปลี่ยน

คอลัมน์ ช่วยกันคิด

โดย ดร.ศุภชัย สุขะนินทร์

 

แม้ว่าในขณะนี้ 5G ยังไม่เกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่กลับมีการคาดหมายว่าในปี 2025 จะมีผู้คนจำนวนกว่าร้อยละ 40 ของคนทั้งโลกใช้ 5G

ปีนี้ 2019 หมายถึงอีก 6 ปีข้างหน้าหลังจาก Huawei & ZTE จะมีให้บริการในปลายปีนี้ และ CISCO จะทำระบบสำเร็จในปีหน้า คนเกือบครึ่งโลกจะใช้ 5G ติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

G ย่อมาจาก generation คือเริ่มจาก 0G ที่เริ่มในปี 1940 เรียกยุค cellular ใช้การส่งสัญญาณด้วยคลื่นวิทยุ ยังจำ Motorola ฉบับกระเป๋าที่ส่งสัญญาณระยะสั้นกันได้

ผ่านมา 40 ปี (1980) จึงถึงยุค 1G คือยุคของมือถือกระติกน้ำที่หลายคนคุ้นเคยดีกับเสียงกดที่ดัง “ตู๊ด ๆ ๆ ๆ”
แต่ยุคนี้มีคนทำ cellular network  เจ้าแรกคือ NTT ของญี่ปุ่น ปีถัดมา 1981 มีบริษัทชื่อ NMT International Roaming มาทำ international roaming network และเริ่มออกที่อเมริกาเป็น Motorola

ถัดมาอีก 10 ปี (1990) เข้าสู่ยุค 2G เกิดขึ้น ช่วงนั้นโนเกียหน้าจอสีเขียว ๆ เป็นที่นิยมมาก ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในช่วงนี้ คือ จากสัญญาณคลื่นวิทยุมาสู่ระบบ analog data

แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าการรับ-ส่งสัญญาณยังช้าอยู่ โนเกียจะมีเกมงูเล็ก ๆ ที่กินหางตัวเอง และเกิดระบบการรับส่งข้อมูลด้วย SMS ขึ้นในช่วงนี้ ใครใช้จะรู้สึกดีว่าสามารถส่งข้อความหาเพื่อนได้มากกว่าเพจเจอร์

จากนั้นความเปลี่ยนแปลงเกิดรวดเร็วมากขึ้น ใช้เวลาเพียง 2-3 ปีต่อมาก็ถูกพัฒนาขึ้นเป็น 2.5G และมีการเกิดขึ้นของระบบ GPRS ที่ความเร็ว 56-114 K  เชื่อมต่อผ่านโมเด็มและเกิด WAP PAGE ไม่นานจากนั้นขยับเป็น 2.75G มี EDGE เกิดขึ้น แม้ความเร็วเพิ่มขึ้นแต่ยังทำอะไรมากไม่ได้

จนมาสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในยุค 3G ในปี 2003 ไอโฟนรุ่นแรกเกิดขึ้นที่เป็นปุ่มเดียว ความเร็วคือ 2 Mbps สิ่งที่เริ่มมีขึ้นในยุคนี้ คือ อีเมล์ และวิดีโอคอลแต่ถือว่าอืดอยู่ เกมบนมือถือเริ่มมีให้เล่นมากขึ้น แต่จะมีกราฟิกน้อย ๆ และในยุคนี้เองที่เริ่มได้ยินคำว่า“ออนไลน์”

หลังจากพัฒนามาอีกระยะหนึ่งในปี 2009 ก็ถึงยุค 4G บนความเร็ว 20 Mbps ถือเป็น 10 เท่าของ 3G ท่องเว็บไม่สะดุด มีผู้สร้างแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ มีการโทร.ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ และมี cloud ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บออนไลน์ มี HDTV ซึ่งประเทศแรกที่เริ่มทดลอง 4G คือ สวีเดน

แม้จะเร็วกว่าเดิม แต่สำหรับกิจกรรมบางอย่าง เช่น การดาวน์โหลดหนังก็ยังจัดว่าช้าประมาณ 5-6 นาที จนกระทั่งกำลังจะก้าวสู่ยุค 5G

อุปกรณ์ของ 5G จะต่างกับ 4G ด้วยช่วงความถี่ที่กว้างขึ้น โดย 4G จะอยู่ที่ไม่เกิน 6 GHz ส่วน 5G จะอยู่ที่ 300 GHz ทำให้ช่วงความถี่ที่กว้างขึ้นสัญญาณจะไม่ชนกัน

และยังมีส่งแบบ small cell และมีระบบจัดการ traffic เรียกว่า beam forming เป็นการส่งแบบ full duplex เหมือนส่งไปกลับสัญญาณได้เลยสัญญาณไม่ชนกัน ถ้าเป็น duplex ธรรมดาจะเหมือน walkie talkie ที่เวลาส่งไปต้องบอกเปลี่ยนถึงสามารถส่งกลับได้

5G เร็วกว่า 4G ที่ 10-20 Gb เปรียบเทียบเห็นภาพง่าย ๆ จากการดาวน์โหลดจากหนังที่ใช้ความละเอียดสูง ถ้าบน 3G ใช้เวลา 26 ชั่วโมง ถึง 4G ใช้เวลา 6 นาที แต่ถ้าเป็น 5G ใช้เวลา 3.5 วินาที จะเร็วอะไรได้ปานนั้น ! และสิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอน คือ business model ที่จะเปลี่ยนไปสู่อีกยุค

ทั้งนี้ ถ้าเราไม่เปลี่ยน เราเองที่จะเป็นฝ่ายถูกเปลี่ยนอย่างไม่ต้องสงสัย