บทบรรณาธิการ
ระยะเวลาเพียงแค่ปีเศษ เศรษฐกิจ สังคม ความปลอดภัยต่อชีวิตและสุขอนามัยของคนไทยต่างจากเดิมลิบลับ ต้นปี 2563 ช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดเข้ามาระลอกแรก มาตรการรับมือของภาครัฐ บวกกับระบบสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่แข็งขัน สกัดคัดกรองผู้ติดเชื้อ ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน แม้แต่องค์การอนามัยโลกยังยกย่องชื่นชมว่าไทยเป็นแบบอย่างในการควบคุมป้องกันโควิด-19 ต่างจากวันนี้ที่สถานการณ์พลิกตาลปัตร แม้บุคลากรทั้งด่านหน้า ด่านหลัง กำลังหนุน ต้องทำงานหนักกว่าเก่าหลายเท่าตัว แต่การแพร่ระบาดของโควิดที่วิกฤตรุนแรง ยอดผู้ป่วย ผู้เสียชีวิตทำสถิตินิวไฮต่อเนื่อง
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
แถมไวรัสโควิดกลายพันธุ์แพร่กระจายเป็นวงกว้างสู่ชุมชน ครอบครัว ปริมาณผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นรายวัน คลัสเตอร์ใหม่โผล่ขึ้นต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานคร ต่างจังหวัด จนระบบสาธารณสุขกำแพงแตกรับไม่ไหว
โรงพยาบาลหลายแห่งต้องประกาศงดรับคนไข้ชั่วคราว เนื่องจากเตียงแน่น เกินกำลังบุคลากร เครื่องมือทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อโควิดจำนวนมากต้องนอนรักษาอาการอยู่กับบ้าน ลามเป็นปรากฏการณ์ที่สังคมไทยคาดไม่ถึง รอเตียงจนเสียชีวิตในบ้าน คนไร้ญาตินอนสิ้นลมบนท้องถนน คนฆ่าตัวตาย น่าสลดหดหู่ใจยิ่ง
ถึงตอนนี้โควิดไม่ได้วิกฤตแค่ 13 จังหวัด ที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์คุมเข้มเท่านั้น มีอีกหลายจังหวัดที่สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ การใช้ชีวิตวิถีใหม่ด้วยความไม่ประมาท ป้องกันความเสี่ยงสุขอนามัยของตนเอง และคนใกล้ชิดจึงจำเป็น เนื่องจากโควิดสายพันธุ์ใหม่ติดต่อง่ายและเชื้อกระจายรวดเร็ว
ช่วงที่คนไทยกว่า 50 ล้านคนยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ต้องรอวัคซีนซึ่งไม่มีหลักประกันว่าอีกนานเท่าใด ภาครัฐจะจัดหาได้เพียงพอ และกระจายครอบคลุมได้ทั่วถึงจึงต้องตั้งการ์ดสูง ขณะที่ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์เริ่มมีจำกัด หาซื้อยากและราคาแพงขึ้น จากที่เคยควบคุมป้องกันโควิดได้ดีอันดับต้น ๆ ของโลก มีผู้ติดเชื้อหลักสิบถึงตอนนี้พุ่งขึ้นกว่าหมื่นคนต่อวัน ขยับขึ้นอันดับ 50 ของโลก จาก 195 ประเทศแล้ว
จึงน่าห่วงว่าสถานการณ์จะยิ่งย่ำแย่ ถ้ารัฐบาลยังบริหารล้มเหลว ไม่ก้าวข้ามกับดักวัคซีน นอกจาก กทม.-ปริมณฑล กับอีก 7 จังหวัดโซนสีแดงเข้มที่ผู้ติดเชื้อจะท่วมทะลัก กำแพงแตกแล้ว อีก 64 จังหวัดที่ขณะนี้การระบาดของโควิดยังอยู่ในวิสัยที่คุมได้ จะยิ่งมีความเสี่ยง เชื้อแพร่กระจายไปถึง
ฉีดวัคซีนถ้วนหน้าแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ตรงจุด คือทางเดียวที่จะกู้วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้สังคมไทยที่กำลังสิ้นหวังพอมองเห็นทางรอด