NETA ปักธงรบทุกแบรนด์อีวี “จากอนุบาล…สู่การเติบโตแบบยั่งยืน”

อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย
อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ

ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนรายล่าสุดที่เข้ามาบุกตลาดบ้านเราอย่างจริงจัง  และพร้อมแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ รวมถึงเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรก NETA V  เจาะกลุ่มลูกค้าชาวไทย

วันก่อน “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ผู้บริหารจากบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด “อเล็กซ์ เป่า จ้างเฟย” ผู้จัดการทั่วไป ที่มีความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งมีประสบการณ์คลุกคลีอยู่กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาพอสมควร ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยกับการเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ และเนต้าจะรุกคืบ เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดบ้านเราได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะความชัดเจนที่ประกาศว่า โปรดักต์หลักที่ใช้ขับเคลื่อนตลาดประเทศไทยนั้น เป็น “เพียวอีวี”

แค่ 3 รุ่นกวาด 1.4 แสนคัน

สำหรับเนต้านั้น เป็นรถยนต์สัญชาติจีน ที่เราเริ่มต้นธุรกิจมาเมื่อปี 2014 ในการวิจัยและพัฒนาโปรดักต์ในประเทศจีน จนปี 2018 เริ่มแนะนำสินค้าออกสู่ตลาด มีรถยนต์ 3 รุ่น คือ U, S, V มียอดขายไปแล้ว 140,000 คันในปีก่อน และในปัจจุบันเนต้าขายเฉลี่ยในจีนอยู่ที่เดือนละ 12,000 คัน ปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายที่ 150,000 คัน หรือหากสถานการณ์ดี เนต้ามองไปถึง 200,000 คันมีความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับจะมีซัพพลายที่เพียงพอหรือไม่

มองไทยฐานผลิตใหญ่

สำหรับประเทศไทยนั้น ถือเป็นประเทศแรกที่เนต้าตัดสินใจออกมาทำตลาดนอกจีน เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจที่ไทยอย่างชัดเจน

เรียกว่า “เนต้าโฟกัสไทยเป็นประเทศแรก” ภายใต้นิยามที่เนต้าต้องการสรรค์สร้างนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อทุกคน “Popularizer of Smart EV”

หากพิจารณาจะเห็นว่า กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีน หลัก ๆ นอกจากการผลิตเพื่อรองรับตลาดในประเทศไทยแล้ว จะมองไปที่ 2 ตลาดหลัก คือ “ยุโรป” และ “อาเซียน” ซึ่งเราจะเห็นว่า ทุกคนไปยุโรปเยอะแล้ว

แต่เรามองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความพร้อมทั้งด้านการผลิตและการจัดจำหน่ายที่จะเห็นว่า 2 ค่ายจีน ก็ตัดสินใจเข้ามาเลือกใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต แน่นอนเนต้ามองนี่คือโอกาสที่จะพัฒนารถยนต์พวงมาลัยขวาเช่นเดียวกัน

ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะซักเซสหรือไม่ แต่ตามแผนงานเนต้า ศึกษาตลาดและเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี

ผนึก “อรุณพลัส-โออาร์”

ตามแผนธุรกิจ เราตั้งใจเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ที่ผ่านมาใช้ระยะเวลาในการพัฒนาทดสอบรถยนต์พวงมาลัยขวา

ในช่วงเริ่มต้น เนต้าจะนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายก่อน (ซีบียู) และหลังจากนั้นจะมีการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งจะผลิตทั้งพวงมาลัยซ้าย-ขวา

โดยได้จ้างบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ในเครือของ ปตท. ในการผลิตรถยนต์เนต้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2566 เบื้องต้นมีสัญญาผลิตอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นคงต้องดูความเป็นไปได้ว่าจะจ้างผลิตต่อหรือขยายเป็นการลงทุนตั้งโรงงานผลิตเอง แต่นั่นต้องหมายความว่า มียอดขายในระดับ 50,000 คันต่อปีจึงจะมีความเป็นไปได้ ส่วนเซอร์วิสก็มองฟิตออโตของกลุ่มโออาร์

เล็งปีหน้าทะลุหมื่นคัน

ปีนี้หลังจากได้เริ่มทดลองตลาดและนำรถมาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ขณะนี้เรามียอดจองรถยนต์ NETA V ไปแล้วกว่า 1,000 คัน

Neta V

ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายที่ 3,000 คัน สำหรับ NETA V รถยนต์อีวีโมเดลแรกที่จะทำตลาด วางตำแหน่งสินค้าให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาตีตลาดอีโคคาร์

ส่วนปีหน้าคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,000-12,000 คัน สำหรับการจำหน่ายในประเทศ รวมทั้งเริ่มส่งออกในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2565 โดยจะเริ่มส่งออกไปยังประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษอาฟตาก่อน

ทุ่ม 200 ล้านขยายตลาดในไทย

ปีนี้เนต้าได้ลงทุนในประเทศไทยเป็นมูลค่า 200 ล้านบาท โดย 100 ล้านบาทแรก ได้มีการลงทุนไปแล้ว สำหรับการจัดตั้งบริษัท รวมทั้งเรื่องของระบบโอเปอเรชั่นต่าง ๆ ส่วนอีก 100 ล้านบาท จะมีการเพิ่มทุนในเร็ว ๆ นี้

ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจว่า งบฯการลงทุนของเราจะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ การใช้สร้างแบรนด์ การขยายเครือข่าย ไม่ใช่เป็นการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่าย เพราะในส่วนนั้น เราจ้างอรุณ พลัส เป็นผู้ดำเนินงาน

เสริมทัพดีลเลอร์เน็ตเวิร์ก

ปัจจุบันเนต้ามีตัวแทนจำหน่าย 21 ราย ถึงสิ้นปีนี้น่าจะมีเพิ่มเป็น 28 ราย โดยปักธงในจังหวัดใหญ่ ๆ และกระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่ อุบลราชธานี อุดรธานี หาดใหญ่ และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลด้วย มีมากถึง 50% ของดีลเลอร์ในปัจจุบัน

สำหรับโชว์รูมของเนต้านั้น เป็นโชว์รูมมาตรฐาน 3S มีครบทั้ง sales, service และ spare parts โดยเบื้องต้นดีลเลอร์ใช้งบประมาณลงทุนรวม ๆ 20-30 ล้านบาท เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการรีโนเวตโชว์รูมเดิม

นอกจากนี้เรายังมี NETA SPACE ศูนย์คอมมิวนิตี้ของเนต้าและลูกค้า ตั้งอยู่ที่เซ็นทรัล พระราม 2 เพื่อเป็นพื้นที่เชื่อมระหว่างเนต้ากับลูกค้าด้วย

นอกจากนี้ยังได้จับมือกับ FIT Auto เพื่อเข้ามาดูแลส่วนงานบริการหลังการขายซึ่งมีอยู่ 77 สาขา ซึ่งจะเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนของบางพื้นที่ที่ไม่มีดีลเลอร์ อย่างล่าสุดเรามีทีม ASS (Automatic System To Success) ออกไปคุยกับดีลเลอร์ ทำ nontech training ที่ ปตท. และคาดว่าปีหน้าจะขยายศูนย์บริการหลังการขายเป็น 100 แห่ง ซึ่งรวมถึง FIT Auto และดีลเลอร์

ส่วนแผนการขยายรถยนต์ออนไลน์นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำ ทุกอย่างมีข้อดี-ข้อเสีย และเราต้องไม่ลืมว่า รถไฟฟ้ามีความแตกต่างเรื่องเทคโนโลยี ลูกค้าอยากลองขับ มาชี้แจงให้ลูกค้า เราต้องทำ customer education ถ้าไม่เพียงพอ ไม่มีคนดูแล อาจจะทำให้ความเข้าใจผิดเกิดขึ้น และจะมุ่งเน้นการจัดโรดโชว์เพื่อเข้าหาลูกค้าก่อน

ไม่เน้นสงครามราคา

สำหรับสิ่งที่บริษัทมุ่งเน้นคือ ไม่ใช้นโยบาย “ราคา” แต่จะเน้นการทำตลาดผ่านระบบ wholesales retails เนื่องจากเรามองว่าแต่ละระบบมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย ซึ่งเนต้าจะบาลานซ์การทำตลาด เพราะการทำสงครามราคา มีแต่จะทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง เจ้าที่ดีเล่นเป็น ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าอ่อนแอก็ตายไป

แต่ถ้าเป็นนโยบาย “ราคาเดียว” ดีลเลอร์ก็ไม่โต ซึ่งเนต้าจะผสมผสานตรงนี้ เรามี internal policy กำหนดมาตรการภายในให้กับดีลเลอร์ต้องทำตาม เราคุมอยู่ให้เล่นกันแรงมากไม่ได้ เนต้ายังถือว่าเป็นเด็กอนุบาลในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งจะต้องเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต