“อินทัช” ยกระดับชาวนา สู่การทำเกษตรอินทรีย์ 4.0

“โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช” จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวนา และสุขภาพของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ครั้งนี้จัดขึ้นที่ ต.ท่างาม อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก พร้อมมอบความรู้เรื่องนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีตามแนวทางการจัดการเกษตร 4.0 ให้กับแกนนำชาวนา 14 ครอบครัว ในการยกระดับเป็นศูนย์จำหน่ายเมล็ดพันธุ์และข้าวอินทรีย์ของจังหวัดพิษณุโลก

“เอนก พนาอภิชน” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เราอยากลดช่องว่างระหว่างชาวนากับราคาข้าว คิดว่าข้าวของไทยมีคุณภาพไม่แพ้ข้าวที่ขายในห้างสรรพสินค้า จึงเกิดแนวคิดส่งเสริมให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อพึ่งพาตนเอง และได้ข้าวที่มีคุณภาพ อินทัชจึงเข้าไปส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์และข้าวอินทรีย์

“โดยเน้นการใช้เทคโนโลยี และเครื่องจักรกลการเกษตรที่เหมาะสมกับชุมชนขนาดเล็ก อาทิ เครื่องคัดทำความสะอาดเมล็ดพันธุ์, เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิทัลตั้งพื้น, จักรเย็บกระสอบ, เครื่องแพ็กข้าวสุญญากาศ และบล็อกข้าวเข้ามาช่วยเพื่อลดขั้นตอน ระยะเวลา และต้นทุนในการปลูก และเก็บเกี่ยว ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจ และความร่วมมือกับสมาชิกโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การให้ความรู้ด้านการตลาด และการเตรียมเข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้สอดคล้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชนและสังคม”

“เรากำหนดกรอบการทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเกษตร 4.0 บน 4 แนวทาง คือ พัฒนากลุ่มสมาชิกชาวนา, พัฒนา และเชื่อมการใช้ทรัพยากรจากเครือข่ายอย่างเหมาะสม, พัฒนาผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีและนวัตกรรม”

“จรูญ ราชบรรจง” ประธานคณะกรรมการโครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพโดยอินทัช ต.ท่างาม อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก กล่าวเสริมว่าชุมชนท่างามส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือทำนา อดีตพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สำคัญ ชาวนาที่นี่มีความรู้ในการทำนา และการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นอย่างดี ส่งผลให้การปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักของครอบครัวมายาวนาน แต่เมื่อวิถีการเกษตรเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านการผลิต และการตลาด การปลูกข้าวมีต้นทุนสูงขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ อีกทั้งราคาข้าวไม่แน่นอน ชาวนากำหนดราคาซื้อขายเองไม่ได้ส่งผลให้ชาวนาทำนาไม่คุ้มทุน”

แต่พออินทัชเข้ามาตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ เครื่องคัดพันธุ์ข้าว, เครื่องแพ็กข้าวสุญญากาศ และบรรจุภัณฑ์ พร้อมกับช่วยยกระดับกลุ่มชาวนาท่างามสู่การเป็นศูนย์เมล็ดพันธุ์ และข้าวอินทรีย์จังหวัดพิษณุโลก เพื่อร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน ตั้งแต่การพูดคุยเพื่อวางแผนการทำงานร่วมกัน คัดเลือกพื้นที่นำร่อง 60 ไร่ในการปรับเปลี่ยนกระบวนการปลูกสู่ระบบอินทรีย์ ทั้งยังผลักดันให้กลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน และการเป็นศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ชุมชน จนทำให้ตอนนี้ทุกอย่างค่อย ๆ ดีขึ้น

“เพราะนอกจากจะทำให้เรามีสินค้าของกลุ่มพร้อมออกจำหน่ายในชื่อถิ่นงาม ทั้งข้าวสารหอมมะลิปลอดสารเคมี และพันธุ์ข้าว กข 49 และพิษณุโลก 2 ที่พร้อมออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี สินค้าของเรายังผ่านมาตรฐาน GAP เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าปลอดภัย นอกจากนั้น กลุ่มของเรายังจดทะเบียนเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนท่างามแสนสุข ที่พร้อมขับเคลื่อนการทำงาน และมีคณะทำงานอย่างชัดเจนเพื่อเป็นแกนนำขับเคลื่อน”

สำคัญไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีความคืบหน้าเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการรับรองสถานะเป็นศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ชุมชน และคาดการณ์ว่าในปี 2561 เราน่าจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ เพราะได้รับการสนับสนุนการทำงานเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งเขื่อนแควน้อยที่ช่วยเรื่องการจัดสรรน้ำเพื่อการทำนา ขณะที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวพิษณุโลกก็มาช่วยดูแลเรื่องการคัดสรรเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้คุณภาพ

สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้งศูนย์จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าว และส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ ต.ท่างาม อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ปัจจุบันกลุ่มชาวนามีการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน และกำลังเข้าสู่กระบวนการขอรับรองสถานะเป็นศูนย์จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ โดยคาดการณ์ว่าจะได้รับสถานะเป็นศูนย์จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ชุมชน และเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2562 และคาดการณ์ว่าภายในปี 2564 ข้าวจะได้การรับรองมาตรฐานอินทรีย์อย่างถูกต้องต่อไป