มองมุมคิด “มิว-ศุภศิษฏ์” ธุรกิจบันเทิงต้องมีทีม “Passion” ที่ดี

ความฝันที่จะเห็นตัวเองยืนโดดเด่นบนเวที แสงจากสปอตไลต์สาดใส่มาจากทุกทิศทาง ทั้งยังห้อมล้อมไปด้วยแฟนคลับ ในฐานะนักร้อง-นักแสดงที่มีคุณภาพ เป็นภาพที่อยู่ในหัวของ “มิว” ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิวศุภศิษฏ์ สตูดิโอ จำกัด ที่ถ่ายทอดให้กับ”ประชาชาติธุรกิจ” ในวันที่ความฝันใกล้เป็นจริงมากขึ้น

ทั้งนั้น เพราะ “มิว-ศุภศิษฏ์” กำลังพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นด้วยการตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจบันเทิงอย่างครบวงจร โดยเขาควบทั้งตำแหน่ง CEO และศิลปินเบอร์แรกของค่าย หลังจากที่มีผลงานในฐานะนักแสดงนำจากเรื่อง “TharnType The Series” ซีซั่น 1 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และซีซั่น 2 กำลังจะออนแอร์อย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ก็น่าจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันซึ่งเขาไม่เพียงเป็นนักร้อง นักแสดงในยุคที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หากเขายังย่อโลกด้วยการเพิ่มช่องทางใหม่ ๆ ให้กับแฟนคลับและศิลปินเข้าถึงโดยไม่ยาก เพราะ “มิว-ศุภศิษฏ์” เชื่อว่าช่วงเริ่มต้นตอนเข้าวงการเขามีเพียงผู้จัดการคนเดียว แต่กระนั้นก็กลายเป็นข้อจำกัดในการรับงานเมื่อเทียบกับศักยภาพของเขาที่มีอยู่ในขณะนั้น

อีกทั้งเขายังคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องในการเรียนร้องเพลงควบคู่ไปกับการเรียนการแสดงเพื่อพัฒนาและยกระดับฝีมือตัวเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “ของดี” มีเยอะ แต่ปริมาณงานกลับสวนทาง จึงทำให้ “มิว-ศุภศิษฏ์” ตัดสินใจตั้งบริษัทของตัวเองเพื่อช่วยขยายความสามารถและความพร้อมในการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยการสร้างทีมที่แข็งแกร่งในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ, ครีเอทีฟ, ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายโปรดักชั่น และฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เขาเป็นคนคัดเลือกเองกับมือ ที่ไม่เพียงจะทำให้งานมีความเป็นระบบมากขึ้น ยังถือเป็นการใช้ประโยชน์จากการเรียนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ามาประยุกต์ใช้กับงานได้ด้วย

“ผมมองว่าเราต้องลงทุนด้านคนก่อนมาเป็นอันดับแรก เมื่อมีทีมงานมากขึ้นจำนวนงานตามมาด้วยรายได้และกำไรที่มากขึ้น ในแง่ของธุรกิจต้องมองเรื่องเหล่านี้ และสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดที่จะต้องมีด้วย คือ คุณภาพของงานต้องมากขึ้นตามไปด้วย ถ้างานไม่ดีเราไม่ปล่อยแน่นอน”

เมื่อนำความฝันของตัวเองมาต่อยอดเป็นธุรกิจ “มิว-ศุภศิษฏ์” มองว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในช่วงเริ่มต้น แต่หากมีผู้ร่วมงานที่ตอบโจทย์ทั้งหมดก็ไม่ยากเกินความสามารถ ถ้าหากมีคุณสมบัติเหล่านี้ 1) ต้องมี connection ที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ 2) มี passion ในทิศทางเดียวกัน และ 3) สามารถพัฒนาศักยภาพของศิลปินให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดีมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อย ๆ

“บางครั้งผลงานของเราอาจช่วยให้คนที่จมอยู่กับปัญหาให้กลับมาใช้ชีวิตในแบบที่เคยเป็นได้ อาจจะทำให้เกิด inspiration ต่าง ๆ ตามมาอีก ตัวผมเองก็อยู่ได้ด้วย inspiration ด้วย passion ในการทำงานเยอะมาก และอยากส่งต่อความรู้สึกดี ๆ แบบนี้ให้กับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนคลับและคนที่สนใจผลงานของผม ทีมงานในวันนี้ถือว่าตอบโจทย์อย่างมากเพราะมีไอเดียที่เหมือนกัน จะต้องเติบโตไปข้างหน้า ขับเคลื่อนทุกอย่างไปพร้อมกันไม่หยุดนิ่ง อยากให้การทำงานมีภาพจำว่างานชิ้นนี้ดีมาก ๆ และต้องดีกว่าไปเรื่อย ๆ เมื่อทีมงานมี passion ที่เหมือนเรา ทุกอย่างจะมุ่งไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอันเนื่่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่กระนั้น ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ “มิว ศุภศิษฏ์ สตูดิโอ” เพราะเขามองว่าความเสี่ยงทางธุรกิจที่มีอยู่ถูกกลบไปโดยปริยายด้วยฐาน “แฟนคลับ” ที่แน่นหนาทั้งในและต่างประเทศ ผมและทีมงานจึงวางแผนสำหรับอนาคตช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้ไว้แล้วว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่งานแสดงและทำเพลงเท่านั้น แต่เราจะพ่วงธุรกิจบันเทิงในอนาคตไว้ด้วย เนื่องจากโมเดลธุรกิจที่วางไว้มีจุดแข็งตรงที่ไม่ว่าจะทำเพลง, ผู้จัดละคร, งานด้านภาพยนตร์ รวมถึงงานบันเทิงด้านอื่น ๆ โมเดลนี้จะทำให้หา “สปอนเซอร์” เข้ามาร่วมสนับสนุนโปรเจ็กต์ของเราได้มากขึ้น

“เมื่อโปรเจ็กต์ของเรามีความชัดเจนในแง่ของผลกำไรที่จะเกิดขึ้น จะทำให้เหล่าสปอนเซอร์อยากเข้ามาร่วมงานด้วย และหากมองความพร้อมของวันนี้ในทุกโปรเจ็กต์ของมิว ศุภศิษฏ์ สตูดิโอ จึงมีสปอนเซอร์ทุกโปรเจ็กต์แล้ว นั่นหมายถึงว่ากระแสเงินสดของบริษัทดีมาก อีกทั้งยังมีทีมงานดีที่ช่วยอุดความเสี่ยง และมีทีมที่เก่งในการหาสปอนเซอร์ รวมถึงในทุกขั้นตอน ผมจะร่วมวางแผนกับทีมอย่างละเอียด”

อย่างไรก็ตาม ทัศนคติในการทำงานถือเป็นเรื่องที่ “มิว-ศุภศิษฏ์” มีความชัดเจน แต่แตกต่างจากการทำธุรกิจบันเทิงยุคเก่า ๆ โดยเฉพาะประเด็นการ “ปั้นศิลปิน” ใหม่ให้กับบริษัท เพราะเขาจะสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคงให้กับศิลปินก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะเรื่อง”ผลตอบแทน” ที่ดี นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงเทคนิคการทำงานที่จะทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ต้องมี คือ การ

ไม่คาดหวังมากจนเกินไป การหลีกเลี่ยงคำว่า “ดีที่สุด” เพราะคำว่าดีที่สุดในวันนี้อาจจะไม่ดีสำหรับวันพรุ่งนี้ก็ได้ ที่สำคัญจะต้องคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำจะต้องดีขึ้นไปเรื่อย ๆแบบไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเป็นภาพสำคัญที่เขาอยากเห็นและอยากให้เกิดขึ้นกับบริษัท มิว ศุภศิษฏ์ สตูดิโอ จำกัด

“เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้เรียนรู้ว่าทำอะไรอย่าไปคาดหวังมาก พอไม่คาดหวังจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์เต็มไปหมด เราต้องรู้ก่อนว่าวัตถุประสงค์หลักของเราคืออะไร อีกทั้งจะต้องเลี่ยงการมอง effect จากภายนอก โดยเฉพาะความเห็นของคนภายนอกที่มองเข้ามา แต่ต้องเลือกมองในสิ่งที่เราสบายใจกว่าและดีแล้วสำหรับเรา คิดแบบนี้ก็ถือว่า mission complete แล้ว เพราะปัจจัยภายนอกควบคุมค่อนข้างยาก ดังนั้น ทุกงานถ้าเราชอบแล้ว คนอื่นจะชอบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนดู”

อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้คืออีกบทพิสูจน์หนึ่งถึงความเป็นศิลปินคุณภาพของ “มิว-ศุภศิษฏ์” สำหรับงานโชว์เคสครั้งแรกของชีวิต ในฐานะนักร้องใน MMS, Across the Universe Showcase Presented by NISSION ที่ถูกจัดขึ้น2 รอบที่โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ สยามสแควร์ วันนั้นมีแฟนคลับทั้งชาวไทยและต่างประเทศอย่างเวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และจีน เข้าร่วมงานจำนวนมาก

ในช่วงท้าย “มิว-ศุภศิษฏ์” ไล่เรียงภาพอนาคตให้ฟังว่า ผมอยากเป็นศิลปินไทยที่มีคนรู้จักทั่วเอเชีย มีศิลปินนักร้องในสังกัดหลากหลายรูปแบบ และจากการลงทุนเริ่มต้นที่ 10 ล้านบาท ผมเชื่อมั่นว่าผลตอบแทนจะกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว ที่สำคัญ สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดคือการเพิ่ม value ให้กับตัวเองทั้งในฐานะนักร้องและนักแสดง

ที่สำคัญ ในอนาคตอาจจะเห็นเขาในลุกของนักวิชาการด้านการศึกษา และด้านวิศวกรรมในอีกบทบาทหนึ่งที่ทุกคนอาจจะต้องแปลกใจ