ทริกเลือกครีมกันแดด-ดูแลผิวพรรณฤดูร้อน

สกินแคร์
ภาพจาก pexels-Karolina Grabowska

แนะนำวิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และวิธีดูแลผิวพรรณช่วงหน้าร้อน

หลังจากประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา สภาพอากาศก็ร้อนระอุมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังมีแสงแดดที่คอยแผดเผาผิวหนังให้หมองคล้ำอีกด้วย

แพทย์หญิงสุธาสินี ตันสุริยวงษ์ ได้แนะนำเคล็ดลับดูแลผิวช่วงหน้าร้อน พร้อมเทคนิคการทาครีมกันแดดสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามว่า

“การได้รับแสงแดดในช่วงเวลาและปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรง แต่หากผิวหนังไม่ได้รับแสงแดดเลย หรือโดนแดดน้อยเกินไป อาจทำให้เกิดอาการกระดูกเปราะบางลง และเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้นแสงแดดจึงมีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย”

แพทย์หญิงสุธาสินี ตันสุริยวงษ์
แพทย์หญิงสุธาสินี ตันสุริยวงษ์

รังสีในแสงแดด

แสงแดดประกอบด้วยรังสีต่าง ๆ หลายชนิด ได้แก่ รังสีอินฟราเรด (Infrared light) แสงที่มองเห็นได้ (Visible light) และรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet light ; UV) ซึ่งเป็นรังสีที่เป็นตัวการทำร้ายผิวหนัง สามารถแบ่งตามช่วงความยาวคลื่นได้ 4 ช่วง ดังนี้

1.UVA1 ความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 340-400 นาโนเมตร (75% ของรังสียูวีในแสงแดด) และทำร้ายผิวได้ลึกที่สุด ทำให้เกิดผิวคล้ำในระยะ Immediate tan ผิวจะคล้ำทันทีตั้งแต่ถูกแสงแดดจนถึง 8 ชั่วโมงจึงจะเริ่มจาง

2.UVA2 ความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 320-340 นาโนเมตร (20% ของรังสียูวีในแสงแดด) ทำให้เกิดผิวคล้ำในระยะ Persistent tan ผิวจะคล้ำทันทีจนถึง 8-24 ชั่วโมงจึงจะเริ่มจาง และส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

3.UVB ความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 280-320 นาโนเมตร (5% ของรังสียูวีในแสงแดด) ทำให้เกิดผิวคล้ำในระยะ Delay tan โดยผิวจะคล้ำทันทีจนถึง 24-72 ชั่วโมงจึงจะเริ่มจาง ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดด เป็นสาเหตุหลักนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนัง

4.UVC ความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 1-280 นาโนเมตร แสงในช่วงนี้โดยมากจะถูกดูดซับโดยก๊าซโอโซนในบรรยากาศ จึงไม่สามารถผ่านมายังพื้นผิวโลกได้

ผลกระทบจากแสงแดดต่อผิวหนัง

ยิ่งผิวสัมผัสกับแสงแดดนานเท่าไหร่ ย่อมส่งผลกระทบต่อผิวของเรา ทั้งนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้น ทำให้ผิวไหม้แดด เกิดอาการแดง แสบ ร้อนผิว เกิดอาการแพ้แสง (Photo allergic)

ส่วนในระยะยาวจะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย (Premature aging และ Photo aging) ผิวเกิดความเหี่ยวย่น เนื่องจากคอลลาเจนใต้ชั้นผิวถูกทำลาย รวมถึงการเกิดริ้วรอย กระ ฝ้า และอาจลุกลามเป็นโรคผิวหนังได้

ประเภทผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด

ปัจจุบันได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดหลากหลายชนิด เพื่อให้เลือกใช้ได้ถูกต้องตามประเภทผิว หรือเลือกใช้ให้ตรงตามประเภทกิจกรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

1.Physical Sunscreen สารกันแดดที่ทำหน้าที่เสมือนกระจกเงาสะท้อนหรือหักเหรังสียูวีออกไปจากผิว สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA1, UVA2 และ UVB ได้ สารในกลุ่มนี้มีอยู่ 2 ตัวคือ Titanium Dioxide และ Zinc Oxide แต่อาจทำให้ผิวหน้าจะขาวเกินไป เกลี่ยยาก และไม่กันน้ำ จึงต้องทาซ้ำบ่อย ๆ

2.Chemical Sunscreen สารกันแดดที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสียูวีไม่ให้ทะลุผ่านลงไปยังชั้นผิวหนัง สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ทุกตัว แต่ความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVA1, UVA2 แตกต่างกันไป

3.Hybrid Sunscreen สารกันแดดแบบผสมที่มีคุณสมบัติทั้งสะท้อนและดูดซับรังสีในตัวเอง พัฒนามาเพื่อลดข้อด้อยของสารกันแดดทั้ง 2 แบบข้างต้น สามารถทาแล้วออกแดดได้ทันทีไม่ต้องรอ ปกป้องผิวจากรังสี UVA1, UVA2 และ UVB ได้ เนื้อเกลี่ยง่าย ไม่เหนียว ไม่ทำให้หน้าขาว

ค่า SPF กับการป้องกันรังสียูวี

เราสามารถพิจารณาปัจจัยหลักในการปกป้องผิวจากรังสียูวีแต่ละประเภทได้จากค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVB เป็นค่าระยะเวลาที่ผิวสามารถทนต่อแสงแดดได้โดยที่ผิวเราไม่ไหม้ (Sunburn) คำนวณจากระยะเวลาที่ผิวทนต่อแสงแดดได้ คูณกับค่าของ SPF

ตัวอย่างเช่น คนเอเชียผิวขาวทั่ว ๆ ไปสามารถโดนแสงแดด 20 นาทีก่อนที่ผิวจะเริ่มอักเสบแสบแดง การใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF30 จะช่วยให้ผิวเราจะสามารถทนต่อแสงแดดได้นานขึ้นคิดเป็น 20 นาที x ค่า SPF30 = 600 นาที หรือ 10 ชั่วโมง

1.ค่า SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 93.3% เหมาะสำหรับผู้ที่ทำกิจกรรมภายในอาคาร ตึก หรือบ้าน แต่ไม่มีการโดนแสงแดดเลย สำหรับผู้ที่มีผิวสองสี หรือผิวสีน้ำผึ้ง ค่า SPF ในระดับนี้ หากอยู่กลางแสงแดดนานเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการผิวแดงเล็กน้อย

2.ค่า SPF 30 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 96.7% เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีเงาร่มและอากาศที่ไม่ร้อน

3.ค่า SPF 50 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 98% เหมาะสำหรับกิจกรรมที่อยู่กลางแจ้ง หรือสถานที่แสงแดดแรงจัด เช่น ทะเล ภูเขา

ค่า PA กับการป้องกันรังสี UVA

วิธีเลือกครีมกันแดดที่ควรให้ความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ค่า PA (Protection grade of UVA) บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVA เป็นค่าที่สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่น (Japan Cosmetic Industry Association, JCIA) กำหนดขึ้นเพื่อแสดงถึงความสามารถในการป้องกันอาการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสี UVA โดยใช้เครื่องหมายบวก (+) ในการแสดงระดับของประสิทธิภาพ ปัจจุบันค่า PA++++ ถือว่าเป็นค่าที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ได้มากกว่า 16 เท่า

ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดทั่ว ๆ ไป จะมีเพียงคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเดียว ทำให้ต้องใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดอื่น แต่ในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดได้มีบทบาทสำคัญในการดูแลผิวพรรณของเรามากขึ้น

โดยนำคุณสมบัติในการบำรุงผิวที่ได้จากสารสกัดธรรมชาติมาใช้ ตัวอย่างเช่น สารสกัดจากชิโซะ (Shiso extract) ที่มีความโดดเด่นในด้านการให้ความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากความแห้งกร้านและการเสื่อมสภาพของผิว อีกทั้งยังช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase Inhibitor) ในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin)

สารสกัดอูกอน (Ougon extract) พืชทะเลทรายที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบ รวมถึงช่วยปรับสีผิวที่หมองคล้ำให้กลับแลดูสว่างอย่างเป็นธรรมชาติ (Decolorizing action)

หรือสารสกัดจากชาขาว (White tea extract) ที่มีสารโพลีฟีนอล ช่วยยับยั้งกระบวนการที่ผิวทำปฎิกิริยากับออกซิเจน (Anti-oxidant) ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เป็นต้น

การทาครีมกันแดดให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์

การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบัน รวมถึงวิธีทาครีมกันแดด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีดังนี้

1.เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว โดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้กว้างครอบคลุมทั้ง UVA และ UVB

2.เลือก SPF ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ อย่างวันไหนต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งมาก ๆ ก็ควรเลือกชนิดที่กันน้ำหรือกันเหงื่อได้

3.ควรทาในปริมาณที่พอเหมาะและเหมาะสม ประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือปริมาณเท่าเหรียญสิบบาท และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง


4.หากเป็นครีมกันแดดชนิดที่ไม่กันน้ำ ควรทาซ้ำเมื่อเหงื่อออกมากหรือระหว่างทำกิจกรรม ควรทาให้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณลำคอ ใบหู และบ่าด้วย