โจเซฟ ไซ กับ “กฎการตั้งครรภ์ 10 ปี” เบื้องหลังแจ็ก หม่า และความสำเร็จอาลีบาบา

ข่าวใหญ่ในเมืองไทยที่เป็นข่าวไปทั่วโลกในรอบสัปดาห์นี้คือ การที่ยักษ์ใหญ่อย่าง “แจ็ก หม่า” แห่ง อาลีบาบา มาเยือนเมืองไทยเพื่อประกาศแผนการลงทุนของอาลีบาบาในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และลงนาม MOU กับรัฐบาลไทย

แจ็ก หม่าคือบุคคลทรงอิทธิพลของโลกที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปไหนทำอะไร ทั้งโลกล้วนจับตามอง

ระหว่างที่โลกรู้จัก “หม่า หยุน” หรือ “แจ็ก หม่า” ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยและฉลาดเบอร์ต้น ๆ ของจีน ยังมีอีกคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขาและอาลีบาบา นั่นก็คือ “ไช่ฉงชิ่น” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ โจเซฟ ไซ (Joseph C. Tsai) ในหนังสือ “เหินห่าว Business” ของ วรมน ดำรงศิลป์สกุล ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน (พิมพ์ครั้งที่ 1 : มกราคม 2561) เขียนถึงชายผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอาลีบาบาคนนี้ว่า

“ไช่” ได้พบกับ “หม่า” เมื่อปี 1999 หลังพบกัน 2 ครั้ง เขาบอกหม่าว่าขอไปทำงานด้วย วันนั้นไช่เป็นผู้บริหารบริษัทการเงินที่ฮ่องกง เงินเดือน 3 ล้านบาท เมื่อย้ายมาทำงานที่อาลีบาบาเขาได้เงินเดือน 2,500 บาท และเป็น 1 ใน 18 ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา

เขาอ่านเกมขาดและตัดสินใจถูก เพราะวันนี้เราเห็นกันอยู่ว่าอาลีบาบาร่ำรวยแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ไช่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (3.6 เปอร์เซ็นต์) ของอาลีบาบา รองจากแจ็ก หม่า

เมื่อไช่เข้าทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงิน ไม่นานก็สามารถหาเงินลงทุนก้อนแรกให้บริษัทได้มากถึง 25 ล้านบาท จากบริษัท โกลด์แมน แซกส์ (Goldman Sachs) บริษัทสถาบันการเงินใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของอเมริกา

ในวันนี้ ไช่ดำรงตำแหน่ง Executive Vice Chairman ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของอาลีบาบากรุ๊ป บทบาทของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เพราะอาลีบาบาไม่ต้องขอเงินจากใคร แต่กลับมีเงินเหลือเฟือจนต้องรู้จักบริหารจัดการให้ดี

ดังนั้น หน้าที่ของไช่ คือ การเข้าควบรวมกิจการอื่น ๆ ให้มาทำงานสอดคล้องกับภารกิจหลักขององค์กร นั่นก็คือทำให้เกิดการสร้างธุรกิจได้ทุกที่ทั่วโลก

อาลีบาบากลายพันธุ์จากการเป็นผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ก่อนจะขยายธุรกิจด้วยการเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่น ๆ จนเกิดระบบนิเวศของตัวเอง โดยเป้าหมายหลักในการเข้าลงทุนบริษัทอื่น ๆ จะอยู่ใต้แนวคิดสำคัญ 2 ด้าน คือ 1.ลงทุนไปแล้วบริษัทใหม่จะ “นำลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการ” ธุรกิจในเครืออาลีบาบามากขึ้น ลูกค้าใช้เวลาอยู่กับธุรกิจในเครืออาลีบาบามากขึ้น 2.การลงทุนเพื่อเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ ดี ๆ ให้ลูกค้าอาลีบาบา

ไช่บอกว่า การทำธุรกิจแบบอาลีบาบามีกระบวนการที่ชัดเจน ซึ่งเรียกว่า “กฎการตั้งครรภ์ 10 ปี” หมายถึงห้วงเวลาในการที่ธุรกิจหนึ่งจะสามารถนำมาซึ่งผลกำไรให้กับองค์กรได้ โดยจะมีกลไกประมาณ 1 ทศวรรษ

3 ปีแรก ต้องเริ่มจากการสร้างสินค้าหรือบริการให้คนชอบเสียก่อน ซึ่งจุดนี้ยังไม่ต้องคิดไปถึงการหารายได้ แต่ต้องทำให้บริษัทสตาร์ตอัพมีกลไกธุรกิจของการมีผู้ลงทุน เพราะผู้ลงทุนจะนำเงินมาช่วยค่าดำเนินการ เพื่อให้พนักงานสร้างสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดจนถูกใจคนเสียก่อน เช่น การกำเนิด “เถาเป่า” เว็บไซต์-แอปพลิเคชั่นขายของออนไลน์ดาวเด่นในเครืออาลีบาบา ในวันแรก ๆ ก็เริ่มมาจากเว็บไซต์ประมูลสินค้าที่เปิดให้ลงขายสินค้าฟรี

ต่อมา 3-5 ปี ถือเป็นช่วงที่จะต้องหาโอกาสสร้างรายได้ โดยจะต้องมีวิธีการหารายได้ที่ลูกค้ายอมจ่าย จนนำมาซึ่งรายได้จริง ๆ ซึ่งในระยะแรกมักจะหนีไม่พ้นโฆษณา ด้วยเหตุนี้ อาลีบาบาจึงมีบริษัทลูกที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันแรก ๆ เพื่อดูแลระบบโฆษณาของเว็บไซต์โดยเฉพาะ ในชื่อ “อาลีมามา” (alimama.com) แต่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่สร้างรายได้ทางตรงให้อาลีบาบา คือ Alibaba.com ซึ่งคิดค่าบริการจากการเปิดหน้าร้านในระบบ และ tmall.com ซึ่งมีรายได้จากการเปิดหน้าร้านและเปอร์เซ็นต์จากการขาย

เมื่อขึ้นปีที่ 5-6 ต้องหาโอกาสในการสร้างกำไร และเมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ขึ้นไปก็ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวผลกำไรและแบ่งรายได้ให้ผู้ถือหุ้น

เมื่อธุรกิจเวียนมาครบ 10 ปี ต้องย้อนมองกลับไปจุดเดิมแล้วลงมือปฏิวัติตัวเอง จุดนี้จะเห็นได้ชัดจากตัวอย่างของเถาเป่า ที่เมื่อทศวรรษผ่านไป ได้กลายเป็นแอปพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซที่ถูกขับเคลื่อนด้วยโซเชียลมีเดีย (มีระบบให้เพื่อแนะนำสินค้าให้กัน) มีรายการถ่ายทอดสดขายสินค้า มีข้อมูลมหาศาลในการแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ารายย่อย ทำให้ลูกค้าแต่ละคนเห็นสินค้าที่โชว์บนหน้าจอไม่เหมือนกันเลย คล้าย ๆ กับที่เราเห็นเนื้อหาในฟีดเฟซบุ๊กของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือวันนี้คนที่เข้าเถาเป่าทุกวัน ไม่ใช่เพราะจะซื้อของอย่างเดียว แต่เข้าเพราะมีทั้งความบันเทิง ความรู้เสิร์ฟให้ลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประวัติของ ไช่ฉงชิ่น หรือ โจเซฟ ไซ เขาเป็นคนไต้หวัน เกิดที่ไทเป พ่อเป็นเจ้าของบริษัทกฎหมายชื่อดังของไต้หวัน เมื่อโตขึ้นมาเขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในอเมริกา เหมือนลูกคนรวยในไต้หวันทั่วไป เขาเรียนจบปริญญาตรี โท และเอก ที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) มีความรู้วิชาเศรษฐศาสตร์ เอเชียศึกษา และกฎหมาย

หนังสือ “เหินห่าว Business” บอกอีกว่า จากการสัมภาษณ์หลาย ๆ ครั้งในเรื่องการเรียนและการสร้างธุรกิจ ไช่แนะนำว่า วิชาที่เด็กมหาวิทยาลัยควรเรียนเพื่อสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 คือ วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถิติ และจิตวิทยา เพราะต้องใช้สถิติในการเข้าใจคอมพิวเตอร์ แต่ต้องใช้จิตวิทยาเพื่อเข้าใจคน

ส่วนคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจก็คือ ถ้ารู้ว่ายังไม่พร้อม ต้องไปหาบทเรียนที่มีค่าที่สุดด้วยการเป็นลูกจ้าง และเรียนรู้จากบอสที่เก่งซะก่อน และเมื่อพร้อมจะลุยแล้ว อย่ากลัวคำว่าเจ๊ง เพราะเราจะได้เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น

สุดท้ายก็คือ ฮีโร่ตัวคนเดียวไม่มีจริง แต่ต้องหาทีมเก่ง ๆ มาร่วมงาน

เมื่อถามถึงภารกิจใหม่ที่ โจเซฟ ไซ กำลังจะทำต่อไป คำตอบคือ ปัญหาที่โลกต้องการคนมาแก้ไข ได้แก่ “การค้าปลีกสมัยใหม่” ซึ่งเป็นโจทย์ที่อาลีบาบาตั้งขึ้นมาท้าทายตัวเอง โดยเชื่อว่าหากทำสำเร็จ ย่อมเป็นการปฏิวัติธุรกิจและโครงสร้างรายได้ครั้งใหญ่ให้บริษัท เพราะนี่คือการพูดถึงโอกาสในตลาดค้าปลีกอีก 85 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือในแผ่นดินจีน