ล่องเรือช่องแคบ 2 ทวีป ชมความงามอิสตันบูล ฟังประวัติศาสตร์เมืองหลวง 3 จักรวรรดิ

ท้องฟ้าสีเทา : เรื่อง-ภาพ

จักรวรรดิโรมันตะวันออก จักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรวรรดิออตโตมัน กรุงคอนสแตนติโนเปิล คำเหล่านี้คุ้นหูมาจากการเรียนประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ตะวันตก แต่ผู้เขียนเองจำความสัมพันธ์ของคำเหล่านี้แทบไม่ได้ จนกระทั่งได้ไปเยือนอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในช่วงปลายปี 2019 ก่อนที่โลกของเราจะได้รู้จักกับเจ้าไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019

ผ่านมาปีกว่าแล้ว สถานการณ์โรคระบาดยังไม่คลี่คลาย ดังนั้น เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจึงอยากเขียนคอนเทนต์ #throwback และ #เที่ยวทิพย์ พาย้อนกลับไปเที่ยวอิสตันบูลในวันที่โรคระบาดยังไม่มาเยือนพวกเรา

อิสตันบูล มหานคร 2 ทวีป เป็นเมืองที่มีความโดดเด่นทั้งด้านภูมิศาสตร์ทำเลที่ตั้ง ซึ่งเป็นเพียงเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป และด้านประวัติศาสตร์ก็โดดเด่นมากเพราะพื้นที่อิสตันบูลเคยเป็นเมืองหลวงของ 3 จักรวรรดิสำคัญในประวัติศาสตร์โลกที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรก

นอกจากการไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ประวัติศาสตร์อิสตันบูล (Historic Areas of Istanbul) ซึ่งได้เขียนไปแล้วในตอนที่แล้ว ตอนนี้เราจะมาโฟกัสภาพไปที่กิจกรรมท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนอิสตันบูล นั่นก็คือการล่องเรือในช่องแคบบอสฟอรัส ชมความสวยงาม 2 ฟากฝั่ง และฟังข้อมูลจากไกด์ที่เล่าให้เราฟังทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการท่องเที่ยว

ช่องแคบบอสฟอรัส หรือช่องแคบอิสตันบูล เป็นช่องแคบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลมาร์มะรา มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร ความเป็นเมืองบริเวณริมช่องแคบบอสฟอรัสมีมาต่อเนื่องยาวนาน

“ฝั่งซ้ายมือของเราเป็นฝั่งทวีปยุโรป และฝั่งขวามือเป็นทวีปเอเชียนะครับ” ข้อมูลพื้นฐานที่ไกด์ท้องถิ่นบอกระหว่างที่เรือล่องในช่องแคบจากทางที่ใกล้ทะเลมาร์มะราขึ้นไปทางทะเลดำ และมีข้อมูลอีกมากมายที่เขาเล่าให้ฟังพร้อมชี้ให้ดูสถานที่สำคัญที่ตั้งตระหง่านอยู่บนฝั่ง

อิสตันบูลมีชื่อในอดีตว่า กรุงคอนสแตนติโนเปิล เป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์โลกมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1,700 ปี

นอกจากชื่อ “คอนสแตนติโนเปิล” แล้ว เมืองนี้มีชื่ออื่น ๆ หลายชื่อ จากชื่อดั้งเดิมว่า ไบแซนเทียน (Byzantian) เป็นเมืองหนึ่งของกรีกก่อนที่จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine I The Great) แห่งโรมันจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมมาอยู่ที่เมืองนี้

ปี ค.ศ. 324-330 จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชก่อสร้างมหานครโรมใหม่บนพื้นที่เมืองไบแซนเทียน แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า โนวา โรมา (Nova Roma) ซึ่งแปลว่า “โรมใหม่” หลังจากที่จักรพรรดิคอนสแตนตินสวรรคตเมืองนี้ถูกเรียกว่า โรมา คอนสแตนติโนโปลิตานา (Roma Constantinopolitana) แปลว่า “เมืองของคอนสแตนติน” และมีชื่อที่สั้นกว่านั้นว่า คอนสแตนติโนเปิล เป็นชื่อหลักที่ผู้คนเรียกกันมาอย่างยาวนาน

คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในโลกตั้งแต่เริ่มสถาปนาเรื่อยมาตลอดยุคกลาง (ศตวรรษที่ 5-15) และจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่

ถึงแม้ว่าเป็นเมืองของจักรวรรดิโรมัน แต่ชาวกรีกในพื้นที่ก็อยู่อาศัยร่วมกัน เมืองจึงมีการผสมผสานความเป็นโรมันและกรีก พูดได้ว่าอิสตันบูลนี่เป็นดินแดนแห่งความผสมผสานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

คอนสแตนติโนเปิลมีสถานะเป็นเมืองหลวงของโรมันอยู่ไม่นาน จักรวรรดิโรมันก็แยกกันเป็นโรมันตะวันตกและโรมันตะวันออก แล้วต่อมาก็แยกขาดกันมีกษัตริย์ของใครของมันในปี ค.ศ. 395 คอนสแตนติโนเปิลจึงมีสถานะเป็นเมืองหลวงของโรมันตะวันออกเท่านั้น

หลังจากแยกกันแล้วโรมันตะวันตกเสื่อมลงอย่างหนักจนล่มสลายไป สวนทางกับโรมันตะวันออกรุ่งเรืองขึ้น โรมันตะวันออกรับเอาวัฒนธรรมกรีกมากขึ้น ๆ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่ซึ่งมาจากชื่อเมืองดั้งเดิมของพื้นที่นี้ว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ ส่วนกรุงคอนสแตนติโนเปิลยังถูกใช้เป็นชื่อเมืองหลวงต่อไป

หลักฐานความยิ่งใหญ่และความรุ่งเรืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิลในยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ก็คือ วิหารเซนต์โซเฟีย หรืออาเยียโซเฟีย (Hagia Sophia) วิหารยอดโดมขนาดใหญ่ที่สร้างสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนในช่วงปี ค.ศ. 532-537 ซึ่งวิหารแห่งนี้มีสถานะเป็นโบสถ์คริสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนจักรออร์ทอดอกซ์

จักรวรรดิไบแซนไทน์เสื่อมอำนาจและเผชิญการรุกรานจากอาณาจักรอื่นที่หมายปองดินแดนทองแห่งนี้ จนในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้แก่จักรวรรดิออตโตมันของชาวเติร์กในปี ค.ศ. 1453 โดยการนำของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2

สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ฉลองชัยชนะโดยสั่งให้เปลี่ยนวิหารเซนต์โซเฟียจากโบสถ์คริสต์เป็นมัสยิดของชาวมุสลิม ลบความเป็นคริสต์เติมความเป็นอิสลามโดยการสร้างหอคอย 4 ทิศ ฉาบปูนทับส่วนประกอบที่แสดงความเป็นคริสต์เอาไว้ นั่นเป็นเหตุผลที่วิหารแห่งนี้ยิ่งใหญ่มหึมาแต่ดูไม่สวยงามประณีต ก็ยังดีที่ในยุคหลังจากก่อตั้งตุรกีมีการกะเทาะปูนที่ฉาบทับส่วนที่สำคัญออก เผยให้เห็นความเป็นคริสต์ในยุคไบแซนไทน์ ไฮไลต์ก็คือภาพพระเยซูบนพื้นหลังสีทองอร่ามที่ใครไปเห็นก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

หลังจากนั้น ก็สั่งให้สร้าง มัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) ขึ้นมาบริเวณตรงข้ามกับวิหารเซนต์โซเฟีย โดยสร้างให้ยิ่งใหญ่กว่า และสวยงามกว่า เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ

จักรวรรดิออตโตมันผ่านยุครุ่งเรืองและเดินทางเข้ามาใกล้ยุคสมัยปัจจุบันโดยเผชิญกับสงครามรอบด้าน ในศตวรรษที่ 19 ออตโตมันได้รับฉายาว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” แล้วในที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ออตโตมันซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ถูกล้มล้างไป และตามมาด้วยการก่อตั้งประเทศตุรกีในปี 1923 เมืองคอนสแตนติโนเปิลก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอิสตันบูลนับแต่นั้นมา

นี่คือเรื่องราวอันยาวนานในดินแดนประวัติศาสตร์แห่งนี้ที่สรุปย่อแล้วก็ยังยาวมาก แต่การได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ขณะที่ตัวเราอยู่บนเรือที่ล่องไปในช่องแคบ ผ่านสิ่งปลูกสร้างสำคัญที่เชิญชวนให้มองตลอดเส้นทาง พร้อมรับลมเย็น ๆ ที่พัดมาปะทะร่างกาย และได้ทักทายฝูงนางนวลที่บินโฉบไปโฉบมาอย่างเพลิดเพลิน ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและไม่ควรพลาดเลยจริง ๆ