ไทยยูเนี่ยนทุบยอดขายสถิติสูงสุดใน Q2 เตรียมควักปันผล 0.40 บาท/หุ้น

ไทยยูเนี่ยนโชว์ยอดขายไตรมาส 2 โต 8.5% เฉียด 4 หมื่นล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์จากอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง-อาหารสัตว์เลี้ยงโตพรวด เตรียมควักปันผล 0.40 บาท/หุ้น

วันที่ 8 สิงหาคม 2565 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มียอดขาย 38,946 ล้านบาท สูงขึ้น 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งปีแรก ยอดขายอยู่ที่ 75,217 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 3,911 ล้านบาท ลดลง 12.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.40 บาทต่อหุ้น

ปัจจัยหลักที่ทำให้ยอดขายไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น เป็นผลจากความต้องการสินค้าและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น  กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติประจำไตรมาสก่อนหักรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิในเรดล็อบสเตอร์ จากอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้น 424 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างโรงงาน รูเก้น ฟิช ในประเทศเยอรมนี 195 ล้านบาท อยู่ที่ 2,243 ล้านบาท ลดลง 8.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์สร้างความสมดุลระหว่างหน่วยธุรกิจหลักทั้ง 3 ธุรกิจ โดยธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมียอดขายเติบโตขึ้น 10.7% อยู่ที่ 16,912 ล้านบาท จากปัจจัยของราคาที่สูงขึ้น บวกกับการอ่อนตัวของค่าเงินบาท และความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น

ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น มียอดขายปรับตัวลดลง 6.5% อยู่ที่ 13,900 ล้านบาท จากธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสู่สภาวะปกติ หลังจากฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564

สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังคงทำผลงานได้ดีเยี่ยม โดยยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 41.7% อยู่ที่ 8,133 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นมาก การปรับตัวขึ้นของราคาสินค้า และยอดขายผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น

“ด้วยธุรกิจของไทยยูเนี่ยนที่มีความหลากหลาย ทำให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคงในการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเรา ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทยังคงทำผลงานได้ดีแม้จะมีรายการพิเศษ 2 รายการ นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ไทยยูเนี่ยนซึ่งมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่พัฒนาจากศูนย์นวัตกรรมของเรา ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นด้วยแบรนด์ต่าง ๆ ของเราที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วโลก”

นายธีรพงศ์กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลกำไรในอัตราที่สูง โดยในไตรมาส 2 บริษัทได้ประกาศลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดา ในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตส่วนประกอบอาหารจากสาหร่ายไมโครแอลจี ด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่นเฉพาะตัว นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าก่อสร้างโรงงานโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ รวมถึงโรงงานผลิตอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีแผนแล้วเสร็จในปี 2566

ในส่วนของการทำงานด้านความยั่งยืน ไทยยูเนี่ยนได้ตีพิมพ์รายงานความยั่งยืนประจำปี ฉบับที่ 9 โดยมีเนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของบริษัทที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก และมีแผนจะมีการปรับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® ครั้งใหญ่ภายในปีนี้ ซึ่งจะรวมถึงการตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets) เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องมหาสมุทร ณ เมืองกัสไกส์ ประเทศโปรตุเกส และลงนามใน UN Global Compact Sustainable Ocean Principles หรือหลักการมหาสมุทรที่ยั่งยืนโดยข้อตกลงแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับบริษัทเอกชน 150 แห่ง เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการดูแลมหาสมุทรให้อุดมสมบูรณ์


“ไทยยูเนี่ยนยังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและการเงินปี 2568 ได้ตรงตามเป้า อย่างไรก็ดี เราตระหนักดีว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในหลาย ๆ ประเทศ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และอุปสรรคในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารต้นทุนให้ได้ประสิทธิภาพ พัฒนาธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง และสร้างการดำเนินงานที่เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ” นายธีรพงศ์กล่าว