พาณิชย์ สร้างสมาร์ทโชห่วย พลัส มั่นใจเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 738 ร้านค้า

สมาร์ทโชห่วย

พาณิชย์หนุน 246 ร้านค้าต้นแบบทั่วประเทศ เป็นพี่เลี้ยงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูโชห่วยท้องถิ่นในพื้นที่ผงาดขึ้นเป็นสมาร์ทโชห่วย มั่นใจเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 738 ร้านค้า

วันที่ 10 สิงหาคม 2565 นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนโครงการ ‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’

โดยมีนายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้แทนหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน 6 องค์กร รวม 28 หน่วยงาน ลงนามประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีเป้าหมายร่วมกันเพื่อผลักดันและพัฒนาร้านค้าโชห่วยให้เป็น ‘สมาร์ทโชห่วย’ ครอบคลุมทั่วประเทศ สร้างโอกาสทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ทั้งการแข่งขันที่รุนแรงในยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

สินิตย์ เลิศไกร
สินิตย์ เลิศไกร

โดยกระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรวางกรอบแนวทางการพัฒนาร้านค้าโชห่วยทุกมิติทั้งระบบ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง นำธุรกิจเข้าสู่ช่องทางการขายในแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมทั้งให้การส่งเสริมสนับสนุนภารกิจทุกด้าน มุ่งหมายให้โชห่วยไทยเติบโตด้วยความมั่นคง ประกอบด้วย 6 องค์กร

ได้แก่ 1) สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย 2) ผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่าย (Suppliers) 3) ผู้ให้บริการเทคโนโลยี/ระบบ POS/แพลตฟอร์ม 4) ผู้ให้บริการเสริม 5) กลุ่มสถาบันการเงิน 6) เครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club THAILAND และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า รวมทั้งสิ้น 28 หน่วยงาน

ทั้งนี้ โครงการ ‘สมาร์ทโชห่วย พลัส’ ตั้งเป้าขับเคลื่อนโครงการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569) โดยยกระดับและบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เดินหน้าจัดกิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการ และนำองค์ความรู้มาพัฒนาต่อยอดเพื่อผลักดันร้านค้าปลีกดั้งเดิมให้เป็น ‘สมาร์ทโชห่วย’ ที่มีภาพลักษณ์ร้านค้าที่ดี มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด

โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ดึงเอาเอกลักษณ์และคุณสมบัติเด่นของร้านค้าโชห่วยขึ้นมาเป็นจุดเด่น เพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน

นอกจากนี้ ยังได้คัดเลือกร้านค้าส่งค้าปลีกที่ได้รับการพัฒนาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทั่วประเทศจำนวน 246 ร้านค้า ให้เป็นร้านค้าต้นแบบ และเป็นพี่เลี้ยงผลักดันให้ร้านโชห่วยเครือข่ายที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกันได้รับการพัฒนาเป็น สมาร์ทโชห่วย โดยตั้งเป้าหมายไว้คือ ร้านค้าต้นแบบ 1 ร้าน พัฒนาและผลักดันให้ร้านโชห่วยเครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่เป็น สมาร์ทโชห่วย 3 ร้าน เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเพิ่มร้านสมาร์ทโชห่วยได้อีกจำนวน 738 ร้านค้า

ร้านโชห่วยท้องถิ่นที่ได้รับการพัฒนาจนเป็นร้านสมาร์ทโชห่วยจะได้รับตราสัญลักษณ์ ‘สมาร์ทโชห่วยพลัส by DBD และเพื่อน’ ติดไว้บริเวณหน้าร้าน เพื่อแสดงถึงศักยภาพของร้านโชห่วยท้องถิ่นที่ได้รับการพัฒนาและยกระดับให้เป็นร้านสมาร์ทโชห่วย และได้ผ่านการอบรมความรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการร้านค้า พัฒนาร้านค้าให้มีความสวย สว่าง สะอาด สะดวก สบาย ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน และช่วยเพิ่มยอดขาย ตลอดจนมีสิทธิเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ในการช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน

โครงการสมาร์ทโชห่วย พลัส เป็นโครงการที่ต่อยอดจาก โครงการสมาร์ทโชห่วย โดยจะดำเนินการคู่ขนานกันไป ผ่านกลไกการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและระดับพื้นที่ โดยมีกิจกรรมการพัฒนาที่หลากหลายครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การเสริมสร้างองค์ความรู้ การพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ โดยอาศัยกลไกความร่วมมือกับร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบที่ได้รับการพัฒนาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือพี่เลี้ยงโชห่วย และมีสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดช่วยติดตามการดำเนินงานและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

สมาร์ทโชห่วย พลัส ขับเคลื่อนโครงการระยะเวลารวม 5 ปี (พ.ศ. 2565-2569)

โดยปี 2565 กำหนดเสริมสร้างองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการโชห่วยทั่วประเทศ 3,000 ราย และสร้างสมาร์ทโชห่วย 300 ราย ปี 2566 ตั้งเป้าหมายเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าโชห่วย 3,000 ราย และสร้างสมาร์ทโชห่วย 400 ราย และในระยะ 5 ปี คาดว่าจะมีผู้ประกอบการโชห่วยที่ได้รับการเสริมสร้างองค์ความรู้รวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 20,000 ราย และได้รับการพัฒนาเป็นสมาร์ทโชห่วย 2,500 ราย โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการขยายเครือข่ายพันธมิตรที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงองค์ความรู้และสิทธิประโยชน์ รวมทั้งพัฒนาร้านค้าโชห่วยให้เป็นตัวกลางเชื่อมโยงโครงการต่าง ๆ จากภาครัฐสู่ประชาชนให้ได้มากขึ้น