หลังจากสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนเริ่มปะทุในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นไปร้อนแรงมาก ธุรกิจพลังงานเผชิญความท้าทายอย่างหนัก แต่นั่นก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการประกอบธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรก ปตท. และบริษัทในกลุ่มมีรายได้ 1,685,419 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 64,419 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 5% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากราคาต้นทุนราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
โดยกำไรสุทธิ 64,419 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 24% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นมาก และอีก 76% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ประกอบด้วย
ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 31% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่น ๆ 17% ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 16% สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมีสัดส่วนเพียง 12% ซึ่งมีกำไรจากการดำเนินงานตามส่วนงานคิดเป็น 4% จากรายได้ของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ปตท.ยังมีแผนลงทุน 91,000 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศและเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ผ่านการลงทุนในธุรกิจ LNG ธุรกิจก๊าซและท่อส่งก๊าซ รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน
โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าตลอดห่วงโซ่คุณค่า การลงทุนในธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (life science : ธุรกิจยา ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์และการวินิจฉัยทางการแพทย์) ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สามารถเข้าถึงยาสามัญได้มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงสร้างการเติบโตทางธุรกิจในกลุ่ม ปตท.แต่ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ของกลุ่มบางจากฯ มีรายได้ 152,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน มี EBITDA 26,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 192%
“ผลดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA เป็นบริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 เป็นต้นมา และส่วนที่เหลือปรับเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวหลังผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางฟื้นตัวขึ้น”
ขณะที่อุปทานน้ำมันยังมีความตึงตัวจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในครึ่งแรกของปี 2565 อยู่ที่ 102.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2564 จำนวน 38.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้มี inventory gain 8,451 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากแยก EBITDA รายธุรกิจแบ่งเป็น ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน 11,527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% จากค่าการกลั่นพื้นฐาน (operating GRM) ปรับเพิ่มขึ้น และโรงกลั่นบางจากยังคงอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่สูงในระดับ 122.3 พันบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 102% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น
กลุ่มธุรกิจการตลาด 2,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 4,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ 7,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,000% ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ที่ 437 ล้านบาท ลดลง 39% จากการปรับราคาขึ้นราคาวัตถุดิบ และไบโอดีเซล B100
“ครึ่งปีหลัง 2565 คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงกดดันความกังวลเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอย อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
แต่อีกด้านยังมีแรงหนุนจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และกลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถเพิ่มการผลิตน้ำมันได้ตามเป้า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจ และมีแผนเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ เพื่อรองรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ”