เปิดอาณาจักรเอสโซ่ 55,000 ล้านบาท ในไทย

เอสโซ่ ประเทศไทย ขายกิจการให้บางจาก

บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ธุรกิจยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ ปักหมุดลงทุนก่อตั้งบริษัทในไทยมากว่า 58 ปี ตั้งแต่ปี 2508 ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551

วันที่ 12 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งบริษัทและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551 ซึ่งมีบริษัทเอ็กซอนโมบิล (EXXONMOBIL ASIA HOLDINGS PTE. LTD.) จากสหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทแม่ถือหุ้นใหญ่ 65.99%

มีบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้อง ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 120 ปี เป็นผู้ประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม 174,000 บาร์เรลต่อวัน สถานีบริการน้ำมันมากกว่า 700 แห่ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแบบครบวงจร (integrated)

อีกทั้งบริษัททำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และเคมีภัณฑ์อื่น ๆ และยังถือหุ้นบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) 21% ถือหุ้นบริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) 7.06%

บริษัทขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ลูกค้ารายย่อยผ่านทางเครือข่ายที่กว้างขวางของสถานีบริการน้ำมันค้าปลีก ภายใต้ชื่อการค้าเอสโซ่ รวมทั้งขายโดยตรงให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรม ค้าส่ง การบิน และการเดินเรือ

นอกจากนี้ บริษัทยังขายผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และเคมีภัณฑ์อื่น ๆ ที่บริษัทผลิตให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเพี่อจำหน่ายไปยังต่างประเทศ

โดยผลประกอบการ 9 เดือน (1 ม.ค.-30 ก.ย. 2565) มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจ 199,362.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11,071.70 ล้านบาท

ในส่วนของ เอ็กซอนโมบิล ซึ่งเป็นบริษัทแม่เอสโซ่ เป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานและปิโตรเคมีระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์  สร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิต และตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม

ธุรกิจหลักของบริษัท ประกอบด้วย Upstream, Product Solutions และ Low Carbon Solutions เอ็กซอนโมบิล จัดหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตปัจจุบัน รวมถึงพลังงาน ผลิตภัณฑ์เคมี ผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และเทคโนโลยีที่ปล่อยก๊าซน้อยลง เอ็กซอนโมบิลถือครองแหล่งทรัพยากรชั้นนำของอุตสาหกรรม และเป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์หล่อลื่น และผลิตภัณฑ์เคมีแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เป้าหมาย NET ZERO

ในปี 2564 เอ็กซอนโมบิล ได้ประกาศเป้าหมายที่จะให้สินทรัพย์ที่ดำเนินการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2559 แผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งองค์กรลง 20-30%

โดยการลดความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินธุรกิจ Upstream ลง 40-50% ลดความเข้มข้นของก๊าซมีเทนทั่วทั้งองค์กรลง 70-80% และลดความเข้มข้นของการเผาไหม้ทั่วทั้งองค์กรลง 60-70%

นอกจากนี้ ในช่วงปี 2561 เอ็กซอนโมบิล ยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันและโรงผลิตแครกเกอร์สำหรับผลิตปิโตรเคมีขนาดใหญ่ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เป็นส่วนต่อขยายจากโรงงานเดิม ด้วยงบประมาณที่คาดว่าจะมีสูงถึง 330,000 ล้านบาท โดยขอให้รัฐบาลจัดหาพื้นที่ขนาดใหญ่ให้ และวางกรอบว่าจะต้องได้ข้อสรุปภายในกลางปี 2561

โดยมีความต้องการพื้นที่ 1,000 ไร่ ใน ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จากนั้น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสถาบันปิโตรเลียม ได้เริ่มทำแผนการศึกษาความเป็นไปได้ และผลจากศึกษาระบุว่าพื้นที่เหมาะสมมีทั้งหมด 4 แห่ง ซึ่ง 2 แห่งเป็นที่ต้องถมทะเล และอีก 2 แห่งเป็นพื้นที่บนบก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการทำผลการศึกษา 1-2 ปี ก่อนที่จะสรุปผลการศึกษาอย่างชัดเจน เอ็กซอนโมบิล ได้เลื่อนแผนการลงทุนออกไปก่อน และจะยังไม่ระบุถึงความพร้อมในเรื่องการลงทุนว่าจะเกิดขึ้นในปีใด ด้วยทั้วโลกกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งล่าสุด เอ็กซอนโมบิล ก็ยังไม่มีแผนขยายโครงการดังกล่าวต่อ