หวั่นสต๊อกปาล์มล้นตลาด การเมืองฉวยจังหวะพระเอก ช่วยชาวสวน

ปาล์มน้ำมัน

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงทางการเมืองขึ้นมา เมื่ออยู่ ๆ ผลปาล์มทะลายในเดือนมกราคม 2566 ราคาได้ตกลงมาเหลือเพียง กก.ละ 4.97 บาท สร้างความเดือดร้อนในเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันทั่วภาคใต้ ทั้ง ๆ ที่ช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ของปี 2565 ผลปาล์มทะลายมีราคาอยู่ถึง กก.ละ 10.49 บาท หรือราคาผลปาล์มไม่ควรจะ “ต่ำกว่า” กก.ละ 9-10 บาท เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดู

ปรากฏการณ์ราคาผลปาล์มร่วงเพียงแค่ช่วงข้ามสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วภาคใต้ บางก็ว่า เป็นเกมทางการเมืองที่ฉวยจังหวะสถานการณ์หวังจะทุบราคาปาล์มลงมา ท่ามกลางกลิ่นอายการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังใกล้เข้ามา

หวั่นสต๊อกปาล์มพุ่ง 400,000 ตัน

ทว่าการทุบราคาผลปาล์มทะลายที่ร่วงลงมาอย่าง “ผิดปกติ” ครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าสถานการณ์ปาล์มน้ำมันภายในประเทศไม่เป็นใจ หรือมีทิศทางที่แย่ลง โดยเครื่องบ่งชี้ล่าสุดที่ทำให้สถานการณ์ปาล์มน้ำมันในต้นปีนี้แตกต่างไปจากปีที่ผ่านมาก็คือ ปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือล่าสุด ณ เดือนธันวาคม 2565

ซึ่งรายงานโดยคณะกรรมการทำงานตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือทั้งระบบระดับจังหวัด พบว่า มีปริมาณสต๊อกคงเหลือสูงถึง 335,837 ตัน ในขณะที่ระดับ safety stock ปกติของอุตสาหกรรมนี้ไม่ควรเกิน 250,000 ตัน หรือเท่ากับมีปริมาณสต๊อกล้นเกินอยู่ถึง 85,837 ตัน

และหากจะคำนวณปริมาณผลปาล์มที่ควรจะเหลืออยู่ในช่วงปลายฤดูในอีก 3-4 เดือนข้างหน้าในอัตราปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่เข้าสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่เดือนละเฉลี่ย 10,000 ตันแล้ว ก็จะส่งผลให้ปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือในฤดูกาลใหม่น่าจะเริ่มต้นขึ้นที่ 400,000 ตัน หรือเกินกว่าระดับ safety stock ไปถึง 150,000 ตัน ซึ่งถือเป็นระดับตัวเลขสต๊อก “ล้นเกิน” เข้าขั้นวิกฤต เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือทั้งระบบ จากข้อเท็จจริงที่ว่า “สต๊อกคงเหลือ” จะเป็นตัว “กดดัน” ราคาผลปาล์มทะลาย โดยที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะผู้กำกับดูแลราคาปาล์มและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ไม่สามารถผลักดันให้ สต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ safety stock ได้

แสดงให้เห็นว่า โครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์ม ด้วยการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ส่งออกนั้น “ไม่ได้ผล” ทั้ง ๆ ที่ควรจะเริ่มต้นระดับสต๊อกคงเหลือให้เหลือน้อยที่สุด ก่อนที่จะเข้าสู่ปาล์มฤดูกาลใหม่

จับตาประกันรายได้ปาล์มต่อ

เมื่อสถานการณ์ปาล์มน้ำมันภายในประเทศตกอยู่ท่ามกลางวิกฤตทั้งในอุตสาหกรรมและในทางการเมือง จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมอยู่ ๆ โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ-ลานเทจึงพร้อมใจกันหยุดรับซื้อผลปาล์มทะลายจากเกษตรกร โดยอาศัยจังหวะช่วงหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา

แต่ข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครออกมาพูดถึงก็คือ ถึงโรงสกัด-ลานเทจะไม่พร้อมใจหยุดรับซื้อผลปาล์ม แต่ราคาผลปาล์มก็จะไม่กระเตื้องขึ้นเกินไปกว่า 4-5 บาท/กก. ทั้ง ๆ ที่ช่วงปลายฤดูราคาปาล์มต้องขยับขึ้นไปมากกว่านี้ กลายมาเป็นคำถามที่ว่า จะมีโรงสกัดน้ำมันปาล์มโรงใดอยากเร่งรับซื้อผลปาล์มเข้ามาหีบ ในเมื่อทุกโรงต่างก็รู้ว่า สต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือในประเทศ ยังอยู่ในระดับที่ “สูงมาก” หรือเกินกว่า 330,000 ตันขึ้นไป

ด้านสถานการณ์ของโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก ในเมื่อปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ก็ยังมีเพียงพอต่อการผลิต ประกอบกับตัวน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเองยังถูกขึ้นบัญชีเป็นสินค้าควบคุม ที่ผ่านมาการขึ้นลงราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดก็ไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดตลอดช่วงปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาแทรกแซงราคาผลปาล์มทะลายตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์ม จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคาปาล์มน้ำมัน “ต่ำกว่า” ราคาอ้างอิง หรือต่ำกว่า กก.ละ 4 บาท ดังนั้นหาก “ใคร” จะได้ประโยชน์ในทางการเมือง ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลเลือกตั้งครั้งใหม่ไม่เกินเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

นั่นหมายความว่าจะต้องมีความพยายามที่จะ “กดราคา” ผลปาล์มทะลายให้ต่ำกว่า กก.ละ 4 บาทต่อเนื่องกันเกินกว่า 15 วัน สอดคล้องกับสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่ว่า อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ด้วยปริมาณสต๊อกคงเหลือที่ใกล้เคียงกับตัวเลข 400,000 ตัน หรือมากเป็นประวัติการณ์ เพียงพอที่จะส่งผลกระทบทางการเมืองต่อรัฐบาลชุดต่อไป

จับตา CPO เพื่อนบ้านทะลัก

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สอบถามความเห็นของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากราคาปาล์มที่ร่วงลงมาขณะนี้ โดยชาวสวนปาล์มที่จังหวัดกระบี่เชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็น “เกมการเมือง” ที่มีการทุบราคา และให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบหยุดรับซื้อผลปาล์มดิบ พร้อม ๆ กันทั้ง 22 โรง และจะให้นักการเมืองในพื้นที่เข้ามาแสดงบทบาทว่า จะเข้ามาแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือกับเกษตรกรชาวสวนปาล์ม และเสนอให้มีการประกันราคา ซึ่งหากเป็นไปตามนี้ ราคาปาล์มกระเตื้องขึ้นแน่

ขณะที่ลานเทของเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งเปิดรับซื้อและจะนำผลปาล์มไปส่งยังโรงงานสกัดในพื้นที่อื่น ๆ กล่าวว่า การหยุดรับซื้อผลปาล์มมีสาเหตุจากการ “รวมตัว” ของโรงสกัดที่มีการอ้างว่า มีปริมาณปาล์มมากเกินไป “ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายฤดู” แต่ได้สร้างกลไกว่า ปาล์มมีปริมาณมากเกิน โดยตั้งแต่ปลายปีโรงงานจำนวนมากหยุดทำการในช่วงเทศกาลปีใหม่ ก่อนกำหนด หลังจากนั้นเมื่อเปิดรับซื้อได้แค่ 2-3 วัน ก็อ้างว่าผลปาล์มเข้าจำนวนมาก

ด้านเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันรายใหญ่ในภาคใต้กล่าวว่า มีโรงสกัดน้ำมันปาล์มให้เหตุผลที่ต้องชะลอรับซื้อเพราะปาล์มน้ำมันเก่ายังคงค้างสต๊อกอยู่ในลานเก็บ จึงต้องให้ปาล์มน้ำมันเก่าแปรรูปให้หมดก่อน จึงเปิดรับซื้อแปรรูปผลิตปาล์มน้ำมันใหม่ และยังมีโรงงานอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันบางแห่งระบุว่า แท็งก์เก็บน้ำมัน CPO เและหลายโรงน้ำมัน CPO มีน้ำมันปาล์มเต็มแท็งก์ ต้องรอระบายออกไปยังโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (โรงรีไฟน์) ดังนั้นจึงไม่มีแท็งก์เก็บน้ำมันปาล์มที่จะเข้ามาอีกต่อไป

“ขณะนี้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มหลายโรงต่างมีคำพูดออกมาตรงกันว่า ถูกให้รับฝากน้ำมัน CPO ตอนนี้จนเต็มแท็งก์ไปหมดแล้ว”

นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวเข้ามาว่า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 มาจนถึงเดือนมกราคม 2566 มีการนำเข้าน้ำมันปาล์ม CPO โดยราคาน้ำมัน CPO มาเลเซียอยู่ที่ประมาณ 29 บาทเศษ/กก. และประเทศอินโดนีเซียประมาณ 25 บาท/กก. ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 31.31 บาท/กก. และน้ำมันบริสุทธิ์อยู่ที่ 36.43 บาท/กก. จึงเป็นมูลเหตุจูงใจให้มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเข้ามาในประเทศ

“มีข่าวว่ามีการนำน้ำมันปาล์ม CPO เข้ามาพักไว้ที่ภาคใต้กว่า 50,000 ตัน โดยอ้างว่าจะมีการทรานสิตส่งสินค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่สาม”

ด้าน นายมนัส พุทธรัตน์ ประธานสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์ราคาผลผลิตปาล์มที่ลดลงขณะนี้ว่า จากปัจจัยโดยรวมทำให้ผู้รับซื้อมีการกดราคาปาล์มลงมา และมีการตั้งราคารับซื้อในราคาที่ต่ำกว่าปกติ

เมื่อดูราคาน้ำมันปาล์มดิบในเวลานี้ที่ขายอยู่ที่ 33-34 บาท/กก. ควรจะต้องรับซื้อผลปาล์มที่ราคา 6 บาท/กก. ในเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่ 18% แต่กลับมีการตั้งราคารับซื้อแค่ 4-5 บาท/กก.เท่านั้น “ผมเห็นว่าราคาที่รับซื้อในขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตปาล์มออกน้อย ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าปกติ”