จุรินทร์ ทิ้งทวนก่อนเลือกตั้ง ประกาศ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-ยูเออี

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

จุรินทร์ ทิ้งทวนก่อนเลือกตั้ง ประกาศ เดินหน้าเจรจา FTA ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) คาดหลังสำเร็จสร้างเงินทันทีปีแรก 73,000 ล้านบาท

วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือกับ ดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (H.E. Dr. Thani bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ว่า ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ประกาศความพร้อมครั้งประวัติศาสตร์เดินหน้าจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) หรือที่เข้าใจ FTA ไทย-ยูเออี

เจรจา FTA ไทย-ยูเออี

โดยจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2566 ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส มีนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะซึ่งจะไปประชุมที่ดูไบ ซึ่งยูเออีเป็นเจ้าภาพ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน หรือประมาณปลายปี 2566 นี้

และจากนั้นก็จะสรุปและเข้าสู่ขบวนการของแต่ละประเทศ คาดว่าใช้เวลา 6 เดือนจะสามารถประกาศบังคับใช้ได้ หรือประมาณกลางปี 2567

“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย เอฟทีเอระหว่างไทย-ยูเออี จะถือว่าเป็นเอฟทีเอฉบับประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่งที่สามารถทำได้เร็วที่สุด คาดว่าจนเสร็จใช้เวลาเพียง 9 เดือน จากที่ตนได้นำคณะผู้แทนกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนเยือนยูเออี เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา จากนั้นเพียง 3 เดือน ก็สามารถประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างกันได้ และใช้เวลา 6 เดือนในการเจรจา”

ทั้งนี้ ถ้าฉบับนี้ประสบความสำเร็จจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเศรษฐกิจการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ  ไทยสามารถใช้ยูเออีเป็นประตูส่งสินค้าและบริการไปยังอีก 5 ประเทศ สมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ หรือ GCC ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และคูเวต โดยอัตโนมัติ

ช่วยเพิ่มตัวเลขการส่งออกที่ไทยจะส่งออกไปยังยูเออีคาดว่าจะสูงขึ้นมาก มูลค่าการค้าปี 2565 ระหว่างไทยกับยูเออีประมาณ 730,000 ล้านบาท ตัวเลขการส่งออกไทยไปยูเออี ปี 2565 มีมูลค่า 119,000 ล้านบาท คาดว่าจากการทำเอฟทีเอแล้วจะเพิ่มมูลค่าการค้าไม่ต่ำกว่า 10% ทันที หรือประมาณ 73,000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี หรืออาจมากกว่านั้น

เจรจา FTA ไทย-ยูเออี

สินค้าจะได้รับประโยชน์ทันที เช่น อาหาร อาหารทะเลกระป๋อง อาหารทะเลแปรรูป สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ แอร์คอนดิชันเนอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เป็นต้น ส่วนภาคบริการไทยจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ต่อไปในอนาคต

นอกจากจะได้แต้มต่อในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอีก 5 ประเทศสมาชิก GCC แล้ว จะถือเป็นเอฟทีเอฉบับแรกของไทยที่ทำกับประเทศในตะวันออกกลาง ถือเป็นฉบับที่ 15 ของไทย กับ 19 ประเทศ และถ้าเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรปเสร็จสิ้น จะมีผลให้มีเอฟทีเอเพิ่มเป็น 16 ฉบับ กับ 46 ประเทศ

“ถือเป็นเอฟทีเอฉบับก่อนการเลือกตั้ง และกระทรวงพาณิชย์ช่วยกันทำงานหนัก เพื่อประโยชน์ของประเทศ ทำกันจนนาทีสุดท้ายเพื่อประโยชน์ของการค้าการลงทุนเศรษฐกิจของประเทศเรา” นายจุรินทร์กล่าว