จุรินทร์ มั่นใจส่งออกไทยปี 66 โต 1-2% แท็กทีม “พาณิชย์-เอกชน” รุกตลาดโลก

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

“จุรินทร์” ยังมั่นใจส่งออกไทยปี 2566 โต 1-2% แม้การส่งออกที่ผ่านมาจะติดลบ พร้อมแท็กทีม “พาณิชย์-เอกชน” รุกตลาดโลก จัด 350 กิจกรรมสร้างเงินเข้าประเทศเพิ่ม 20,000 ล้าน เผยจัดพาณิชย์ลดราคา เซฟเงินคนไทยไปแล้วเกือบ 20,000 ล้าน

วันที่ 1 มิถุนายน 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในปี 2566 นี้ อัตราการเติบโตติดลบอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามทิศทางที่ทั่วโลกประสบปัญหา เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลายประเทศ คู่ค้าสำคัญของไทยก็ถดถอย กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยไม่ใช่แค่ไทยที่เจอปัญหาในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน

แต่ทั้งนี้ ตนประเมินร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน มีโอกาสทำให้ตัวเลขส่งออกเป็นบวกอย่างน้อย 1-2% โดยการเตรียมบุกตลาดสำคัญที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดอาเซียน ตะวันออกกลาง เอเชียใต้และจีน เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศและมีกำลังซื้อดี คาดว่าตัวเลขส่งออกเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งการเตรียมกิจกรรม 350 กิจกรรม เร่งรัดการส่งออกซึ่งร่วมกับเอกชน

“การส่งออกยังมีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นบวกซึ่งเราทำงานเต็มที่กระทรวงพาณิชย์ยุคที่ตนมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราไม่ทำงานโดดเดี่ยว เราทำงานร่วมกับเอกชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างเป็นรูปธรรมทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์กับเอกชนเป็นเนื้อเดียวกันต่อเนื่อง”

พร้อมกันนี้ ยังร่วมทำงานกับทูตพาณิชย์กับพาณิชย์จังหวัด และประชุมร่วมกันผลักดันเป้าหมาย 350 กิจกรรม กระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดเป้าหมายหลักที่จะเติมตัวเลขส่งออกอย่างน้อยอีก 20,000 ล้านบาท จะทำให้สำเร็จ

ถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจะมีส่วนช่วย และค่าเงินบาทอาจจะมีส่วนสำคัญ ถ้าค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจะช่วยทำให้ตัวเลขส่งออกการ แข่งขันราคาในต่างประเทศดีขึ้น แต่ต้องมองเศรษฐกิจโดยรวมด้วยว่าเป็นอย่างไร ในฐานะรัฐบาลต้องรับผิดชอบทั้งองคาพยพทางเศรษฐกิจทั้งหมด

ส่วนเรื่องราคาสินค้าหลายตัวปรับลดลงโดยต่อเนื่อง เช่น ปุ๋ยยูเรีย ปรับลดลงมา 50% และโดยเฉลี่ยลดลงประมาณ 30% ผลจากราคาแก๊ส ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง ซึ่งปุ๋ยเคมีต้องนำเข้า 100% ส่วนราคาสินค้าอื่นหมวด เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคปรับลดลงอยู่ในระดับไม่เกินราคาโครงสร้างที่กำหนดไว้สอดคล้องกับต้นทุน

และตัวเลขเงินเฟ้อ เม.ย. 2566 ปรับลดลงมาเหลือ 2.6 ต่ำสุดในอาเซียน เป็นลำดับที่ 14 จาก 100 กว่าประเทศทั่วโลก อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ดีเราสามารถกำกับควบคุมได้อย่างดี และโดยเฉลี่ยราคาสินค้าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และโครงการพาณิชย์ลดราคายังเดินหน้าต่อไป เพื่อแบ่งเบาภาระ 3-4 ปีที่ผ่านมาลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ได้เกือบ 20,000 ล้านบาท

สำหรับงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2023 ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จมากในการจัดงานเทศกาลอาหาร เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์ หอการค้าไทยและโคโลญเมสเซ่ ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ANUGA กระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ THAIFAX สามารถทำให้คนทั้งโลกหลั่งไหลมาซื้อสินค้าอาหารจากประเทศไทยเยอะมาก

ทำตัวเลขได้ถึง 120,000 ล้านบาทจากงานนี้ จะเป็นอีกส่วนที่ทำให้ตัวเลขการส่งออกเดินหน้าไปสู่เป้าทั้งปีทำให้เป็นบวกให้ได้ 1-2%