เงินเฟ้อไทยต่ำสุดในอาเซียน ชะลอต่อเนื่อง 5 เดือน-พ.ค.บวกแค่ 0.53%

เงินเฟ้อ

“พาณิชย์” เผยเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 66 เพิ่มขึ้น 0.53% ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ต่ำสุดในรอบ 21 เดือน ชี้ปัจจัยจากราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า สินค้าหมวดอาหารลดลง จับตาภัยแล้ง ค่าแรง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวดันเงินเฟ้อพุ่ง ส่วนเป้าทั้งปีตั้งไว้เดิม 1.7-2.7%

นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย (เงินเฟ้อ) เดือนพฤษภาคม 2566 เท่ากับ 107.19 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นเพียง 0.53% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 21 เดือน และเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าพบว่าลดลง 0.71%

ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) ปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 2.96% โดยสาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่ากระแสไฟฟ้า รวมทั้งราคาสินค้าในหมวดอาหารที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับฐานราคาที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ระดับสูง ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้ชะลอตัวค่อนข้างมาก

นายวิชานันกล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ (ข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายน 2566) พบว่า ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อระดับต่ำ และต่ำที่สุดในอาเซียน จาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ทั้ง สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม

นอกจากนี้ เมื่อดูหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 3.99% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ ผักและผลไม้ (มะนาว ต้นหอม มะเขือ แตงโม เงาะ) ไข่ไก่ เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดไม่มากนัก ประกอบกับความต้องการเพิ่มขึ้นจากการเปิดภาคเรียน เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟ/ชา (ร้อน/เย็น) น้ำอัดลม กาแฟผงสำเร็จรูป) และอาหารบริโภคในบ้าน (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวแกง/ข้าวกล่อง ก๋วยเตี๋ยว) ราคาสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ปลาช่อน น้ำมันพืช มะขามเปียก มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) กล้วยน้ำว้า ทุเรียน และชมพู่ หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 1.83% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มดีเซล แก๊สโซฮอล์ และเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า แป้งผัดหน้า หน้ากากอนามัย และค่าสมาชิกเคเบิลทีวี

ส่วนสินค้าที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสารสาธารณะ (เครื่องบิน แท็กซี่ จักรยานยนต์รับจ้าง รถเมล์เล็ก/สองแถว เรือ) ค่าการศึกษา สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (สารกำจัดแมลง น้ำยาล้างห้องน้ำ) และค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมชาย/สตรี ค่าทำเล็บ)

สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกสูงขึ้น 1.55% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนเมษายน 2566 ที่สูงขึ้น 1.66% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

นายวิชานันกล่าวอีกว่า แนวโน้มเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน 2566 คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง หรือมีโอกาสหดตัวได้ ตามการลดลงของสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีแนวโน้มลดลง และอยู่ระดับต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก และค่ากระแสไฟฟ้าที่ปรับลดลงจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล

“ปัจจัยที่มีผลทำให้เงินเฟ้อลดลงยังคงเป็นน้ำมันที่วันนี้ขึ้นพรุ่งนี้ลง ตอนนี้ยังมีความไม่ชัดเจน แม้ล่าสุดโอเปกจะปรับลดกำลังการผลิตลงมา แต่ก็ยังมีภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะฉุดความต้องการใช้ ฐานเงินเฟ้อปีก่อนที่อยู่ในระดับสูงก็จะมีผลทำให้เงินเฟ้อไม่เพิ่มขึ้นมาก และมาตรการลดค่าครองชีพภาครัฐ หากมีมาตรการแรง ๆ ออกมา ก็จะช่วยฉุดเงินเฟ้อลงอีก เช่น ลดค่าไฟ” นายวิชานันกล่าว

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นคือ ภัยแล้งที่จะกระทบสินค้าเกษตรและอาหาร ที่จะปรับตัวสูงขึ้น อุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากก๊าซหุงต้ม หรือในอนาคตจะมีเรื่องค่าแรง ซึ่งต้องติดตามเพราะยังไม่มีการปรับขึ้น

สำหรับการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 นั้น นายวิชานันกล่าวว่า ขณะนี้กำหนดไว้ที่ระหว่าง 1.7-2.7% ค่ากลาง 2.2% แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลง โดยไตรมาส 1 เงินเฟ้อ 3.88% ไตรมาส 2 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1% กว่า ๆ ไตรมาส 3 และ 4 เฉลี่ยไม่เกิน 1% ทำให้ทั้งปีน่าจะลดลง โดยขอดูความชัดเจนในเดือน มิ.ย. 2566 ก่อน และจะพิจารณาปรับเป้าหมายอีกครั้ง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดลง