
รัฐสภาโหวตนายกฯพิธา ไม่ผ่านรอบแรกป่วน หวั่นโดนสกัดไม่ให้โหวตรอบสอง ธุรกิจผวาม็อบยืดเยื้อจังหวัดท่องเที่ยวฐานเสียงก้าวไกลลามทั่วประเทศทุบมู้ดไฮซีซั่น อีสาน-เหนือห่วงเศรษฐกิจฐานรากพัง ตลาดทุน-เอกชนรุ่นใหญ่ รุมเสนอชื่อนายกฯจากเพื่อไทยขึ้นเป็นแกนนำ-ลุ้นสูตรรัฐบาลใหม่ แบงก์งัดแผนฉุกเฉินรับมือ หุ้นพลังงานพลิกบวก หอการค้า-สภาอุตสาหกรรมกุมขมับการเมืองปัจจัยเสี่ยงสูง อสังหาฯยอดหาย 20% ข้ามช็อตลุ้นขายไตรมาส 4 ค่ายรถยนต์ลุ้น ครม.ใหม่ต่อเนื่องมาตรการ EV
การประชุมรัฐสภา ลงมติไม่เลือก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเสียงทั้งจากสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ให้ผ่าน (งดออกเสียง+ไม่เห็นชอบ) รวม 381 เสียง ขณะที่เสียงเห็นชอบมีเพียง 324 เสียงเท่านั้น เมื่อเสียงของรัฐสภารวมกันไม่เกินกึ่งหนึ่ง คือ 376 เสียง นายพิธา ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 เสียง จึงยังไม่ผ่านโหวตเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
การนัดประชุมรัฐสภาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ซึ่งนายพิธาอาจจะโดนสกัดด้วยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เมื่อวิป 3 ฝ่ายคือ รัฐบาล-ฝ่ายค้าน-ส.ส. เห็นว่าการเสนอชื่อเพื่อลงมติให้นายพิธาเป็นนายกฯ เป็นญัตติซ้ำที่ถูกตีตกไปแล้ว ไม่สามารถเสนอครั้งที่ 2 ได้ ขณะที่พรรคก้าวไกลโต้แย้งว่า รัฐธรรมนูญ 2560 ใหญ่กว่าข้อบังคับการประชุม สามารถเสนอซ้ำได้
ดังนั้น การต่อรองระหว่าง 8 พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพรรคเพื่อไทย ต้องการให้พรรคก้าวไกล ลดเงื่อนไขการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 เพื่อผ่าทางตัน หาเสียงจาก ส.ว.ได้ 64 เสียง จึงจะผ่านโหวต แต่ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ถอย ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนสูตรรัฐบาลใหม่ เป็นไปได้ทั้งเพื่อไทยขึ้นเป็นแกนนำร่วมกับก้าวไกล และเพื่อไทยเป็นแกนนำร่วมกับขั้วใหม่ ที่ดึงพรรคร่วมรัฐบาลเก่าเข้าจัดตั้งรัฐบาล
ธุรกิจ Wait&See หวั่นม็อบแรง
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาล หากยืดเยื้อไปกว่าไทม์ไลน์เดิม และหากมีการประท้วง หรือไปถึงขนาดมีการยุบพรรคก้าวไกลก็จะเกิดความรุนแรง จะกระทบการลงทุน การบริโภค การท่องเที่ยว ทุกอย่างจะดีเลย์ไปหมด ซึ่งตอนนี้คนทำธุรกิจคงต้อง wait & see รอดูสถานการณ์ เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
ตลาดทุนลุ้นรอบ 2 พิธาไม่ผ่าน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ผลโหวตนายกรัฐมนตรี รอบแรก ถือว่าสอดคล้องกับมุมมองของคนส่วนใหญ่ที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ว่าไม่น่าจะผ่าน เพราะหลายคนก็ไม่ค่อยสบายใจกับนโยบายของพรรคก้าวไกล มองว่าตลาดทุนน่าจะตอบรับในเชิงบวก หรือมีการฟื้นตัวขึ้นได้
“โหวตรอบสอง ผมดูว่าโอกาสที่จะผ่าน ก็น่าจะยังยากอยู่ หากเสนอชื่อคุณพิธาเหมือนเดิม จากเสียงโหวตที่ค่อนข้างห่างกว่า 50 เสียง ซึ่งหากพรรคก้าวไกลยังอยากจะเป็นรัฐบาลต่อ มองว่า 1.ต้องยอมถอยในบางเรื่องหรือลดเพดานลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งก็น่าจะเป็นข่าวดี เพราะช่วงแรกที่คนตื่นตระหนก เพราะกลัวว่าจะผลักดันครบทุกนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ และถึงแม้ว่าจะโหวตผ่านได้เป็นนายกฯ แต่เนื่องด้วยตัวนายพิธา ยังมีหลายคดีที่ต้องพิสูจน์ ซึ่งอาจจะโดนสอยเมื่อไหร่ก็ได้ ฉะนั้นจะยิ่งทำให้เสถียรภาพดูไม่ค่อยดี หรือฟันธงไม่ได้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปี”
หรือ 2.อาจจะต้องยอมเสนอชื่อนายกฯจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งตลาดหุ้นจะชอบมากกว่า เพราะนาทีนี้นโยบายบางอย่างของพรรคก้าวไกลไม่ค่อยเป็นมิตรกับฝั่งตลาดทุน ในขณะที่พรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อตลาดทุน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ค่อนข้างมีแนวทางที่ชัดเจน ดังนั้นอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักกว่านี้ได้
“ช่วงนี้ตลาดหุ้นอาจจะนิ่ง ไม่ได้ขึ้นปรู๊ดปร๊าด เพราะก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน และยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เริ่มเป็นสัญญาณที่ว่าโอกาสของพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลลดน้อยลง แต่ยังมีโอกาสที่จะอยู่ในรัฐบาล” นายไพบูลย์กล่าว
นายไพบูลย์กล่าวด้วยว่า หากเกิดออกมาเป็นในลักษณะการสลับขั้วทางการเมือง จะมีความวุ่นวายและถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเข้ามาได้ จึงต้องไปวิเคราะห์กันต่อว่าจะเป็นขั้วไหน แต่กรณีนี้ไม่ได้อยู่ในฉากทัศน์ที่นักลงทุนประเมินไว้
แบงก์งัดแผนฉุกเฉิน
แหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูงจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งกล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง สิ่งแรกที่นักลงทุนต้องการเห็น คือ หน้าตาของรัฐบาลใหม่ เพื่อให้มองภาพไปในระยะข้างหน้าทั้งการวางแผนธุรกิจและลงทุนจะได้มีความชัดเจน แต่หากมีความล่าช้าออกไปจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจเนื่องจากทุกคนรอดูสถานการณ์
ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวเปราะบางและต้องได้รับการดูแล รวมถึงยังมีประเด็นภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง มีผลต่อกำลังซื้อ หากสถานการณ์ลากยาว ทำให้แผนการดูแลเศรษฐกิจจะยิ่งมีความล่าช้า จนกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ทำให้กำลังซื้อไม่ฟื้นตัว และปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยจะแก้ไขได้ยากมากขึ้น เป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี กรณีหากเหตุการณ์มีความรุนแรงจนอาจจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เชื่อว่าทุกธนาคารจะมีการกลับมาทบทวนแผนธุรกิจ (revisit) โดยมีการเปลี่ยนหรือรื้อ consumption ใหม่ และรวมถึงมีแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (BCP) ซึ่งธนาคารมีความพร้อมและเคยนำมาปฏิบัติอยู่แล้ว เช่น ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หรือความไม่สงบทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา จึงไม่น่ามีปัญหา
“แบงก์ไทยเข้าใจการเมืองไทยดีและผ่านมาหลายเหตุการณ์ ซึ่งมีประสบการณ์และบทเรียน มองว่าครั้งนี้ก็น่าจะจัดการได้ ส่วนจะต้องมีการปรับแผนธุรกิจก็คงต้องดูดีกรีความรุนแรงของสถานการณ์และตัวแปรต่าง ๆ ประกอบกันด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
หุ้นพลังงานดีดรับรัฐสภาเด้งพิธา
แหล่งข่าวจากบริษัทพลังงานรายใหญ่กล่าวว่า โอกาสที่นายพิธาจะกลับมาได้รับการเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ แทบจะไม่มี ซึ่งอาจจะทำให้มีการชุมนุมแน่นอน สิ่งที่จะกระทบเป็นอันดับแรกเป็นเรื่องตลาดเงิน ตลาดทุน อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานจะปรับตัวดีขึ้น ล่าสุดหุ้นของกลุ่ม GULF ในเช้าวันที่ 14 ก.ค. 66 ปรับบวกขึ้น 1.58% เป็น 48.25 บาท
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปี 2566 มีปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับการจัดตั้งรัฐบาล ว่าจะออกมาเป็นสูตรไหน ระหว่างสูตรการรวม 8 พรรคเดิมตาม MOU หรือสูตรใหม่เลย
อยากได้ดรีมทีมเพื่อไทย-ก้าวไกล
ด้านนายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า เอกชนทำงานกับรัฐบาลชุดใดก็ได้ ส่วนตัวมองสูตรก้าวไกลบวกเพื่อไทย ถึงแม้จะเปลี่ยนนายกฯเป็นเพื่อไทย ก็ยังเป็นสูตรที่น่าสนใจ เพราะทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยมีประสบการณ์และมีจุดเด่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจค่อนข้างดี ขณะที่พรรคก้าวไกลมีจุดเด่นเรื่องการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น หากเปลี่ยนขั้วไปเป็นอีกขั้วหนึ่ง จากขั้วพรรคการเมืองเดิม ปัญหาที่เคยหมักหมมก็จะไม่ได้รับการแก้ไข
โหวตรอบหน้าต้องเพื่อไทย
นายอิศเรศมองว่าการโหวตนายกฯ ไม่ควรจะเกิน 3 ครั้ง โดยวันที่ 19 ก.ค.นี้ โหวตคุณพิธาอีกรอบ ถ้าผ่านก็ถือว่าจบ ถ้าไม่ผ่านรอบหน้าก็เพื่อไทยเลย
“หากเปลี่ยนขั้วรัฐบาลแบบเอ็กซ์ตรีมแล้วนโยบายก้าวไกลหายอาจจะทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้น ซึ่งน่าเป็นห่วงที่สุด โดยเฉพาะไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยว แต่หากม็อบมา นักท่องเที่ยว เครื่องยนต์ส่งออก การบริโภคภายใน การลงทุนภาครัฐติดลบ จีดีพีมีโอกาสเป็นซีโร่โกรทได้ ทั้งยังมีหนี้ครัวเรือนพุ่ง 90% ของจีดีพีอีก ปลายปีนี้ ผมว่าเหนื่อยมากกว่าโควิดแน่นอน”
“ผลการเลือกตั้ง จ.ท่องเที่ยวทั้ง ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ พื้นที่ฐานเสียงพรรคก้าวไกลเป็น ส.ส. ผมภาวนาให้เรื่องนี้จบในสภา ขอทั้งสองฝ่ายถอยคนละครึ่งก้าว ลองมองให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง สิ่งที่ ส.ว.ท่านอภิปรายส่วนใหญ่เป็นเรื่องมาตรา 112 ถ้ายังยืนจุดยืนแบบเดิม สุดท้ายการโหวตครั้งที่ 2 จะไม่ดีขึ้น”
หอการค้าหวั่นกระทบลงทุน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังไม่สามารถผ่านการลงคะแนนได้ในครั้งแรก ยังมีครั้งที่ 2-3 ในวันที่ 19 และ 20 ก.ค. คงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าในระยะสั้นการชุมนุมจะไม่กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ที่คาดว่าเติบโตได้ทั้งปี 3-3.5% แต่หากได้รัฐบาลล่าช้าออกไป จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างประเทศ
ส.อ.ท.หืดขึ้นคอการเมืองปัจจัยลบ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนยังคงลุ้นการโหวตอีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. 66 ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะต้องล่าช้าออกไปอีก ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนหลาย ๆ โครงการ เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่านโยบายต่าง ๆ ที่จะออกมาจะไปในทิศทางไหน อาจเห็นการชะลอการลงทุนในบางอุตสาหกรรม การเมืองภายในประเทศจะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งในครึ่งปีหลัง ที่จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจ GDP โตไม่ได้ตามที่คาด
SME หมดมู้ดเตรียมแผนฉุกเฉิน
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว จะทำให้มู้ดครึ่งปีหลังของภาคเอกชน เอสเอ็มอี กังวลกับความเสี่ยงทางการเมืองนอกสภาที่อาจขยายผลเป็นความรุนแรงกระทบต่อการค้า การลงทุนของประเทศ
สำหรับแผนบริหารความเสี่ยง ประกอบด้วย 1.วางแผนธุรกิจที่มีฉากทัศน์สำรองกรณีเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การเมือง เพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุดและมีแผนฉุกเฉินสู้วิกฤต 2.กลยุทธ์บริหารต้นทุนทางการเงิน แสวงหาแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระทางการเงิน 3.ลดค่าใช้จ่าย ต้นทุนดำเนินธุรกิจที่ไม่จำเป็น 4.เพิ่มโอกาสแสวงหาตลาดเกิดใหม่ ขยายตลาด และ 5.พัฒนายกระดับธุรกิจผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยความสร้างสรรค์ นวัตกรรม
Q3/66 ขวัญหายเต็มไตรมาส
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นักธุรกิจอยากเห็นคือ 1.อยากให้ตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ จะเป็นใครก็ได้ เพื่อประเทศจะได้เดินหน้าต่อไป
2.นักธุรกิจและพันธมิตรต่างชาติไม่ชอบความวุ่นวายบนท้องถนน เพราะเมื่อเกิดความวุ่นวายทางการเมืองแล้ว การทำธุรกิจจะเหนื่อยมาก ไม่อยากให้มีความวุ่นวายมาซ้ำเติมอีกในปีนี้
สำหรับมู้ดผู้บริโภคอสังหาฯประเมินว่า ไตรมาส 3/66 การซื้อคงหายไปเพราะอารมณ์มันหายไป ส่วนไตรมาส 4/66 อาจทำใจได้และกลับมาซื้อใหม่ ส่วนมู้ดผู้ประกอบการ ไตรมาส 3/66 อาจมีปัจจัยที่ยังไม่นิ่ง ส่วนใหญ่แผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่จึงเทไปที่ไตรมาส 4/66 ซึ่งถ้าเหตุการณ์การเมืองไม่รุนแรงมากก็คงเปิดโครงการใหม่ได้ แต่แนวโน้มคงเปิดได้ไม่ครบตามแผนที่ประกาศไว้
ส่วนคำถามปัจจัยการเมืองถ้ายืดเยื้อ จะทำให้เสียโอกาสการทำธุรกิจครึ่งปีหลังมากน้อยแค่ไหน นายพีระพงศ์กล่าวว่า ตอนนี้ก็มีผลกระทบแล้ว ถ้ายืดเยื้ออาจทำให้ตัวเลขคาดการณ์หายไป 10-20% จากเป้าที่ตั้งความหวังไว้ ทั้งยอดขายและยอดโอน ดังนั้นวันนี้ภาคนักธุรกิจอยากส่งสัญญาณถึงภาคการเมืองว่า อย่าทำประเทศให้บอบช้ำมากกว่านี้
ท่องเที่ยวกลัวม็อบทุบมู้ดไฮซีซั่น
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า อยากให้กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลอยู่ในกรอบเวลา พร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมือง ขอเพียงแค่ให้นายกรัฐมนตรีเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจะส่งผลต่อการฟื้นตัว เสียโอกาสให้กับประเทศคู่แข่ง หากเกิดม็อบจะยิ่งทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยชะลอตัว เพราะนักท่องเที่ยวอ่อนไหวและห่วงความปลอดภัย
เช่นเดียวกับ นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือ ATTA กล่าวว่า หากการโหวตนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า และเกิดการชุมนุมประท้วง จนนำไปสู่ม็อบชนม็อบ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวแน่นอน นักท่องเที่ยวกังวลต่อความปลอดภัย
ห่วงมาตรการณ์ส่งเสริมรถ EV สะดุด
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความไม่ชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นห่วงว่า มาตรการส่งเสริมรถ EV เวอร์ชั่น 3.5 ซึ่งผ่านบอร์ด EV มาเรียบร้อยแล้วจะสะดุด เพราะขณะนี้รอผ่านคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ขณะที่แหล่งข่าวจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่กล่าวเสริมว่า เป็นอุตสาหกรรมใหญ่และสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศได้ ดังนั้นสิ่งที่แย่ที่สุดตอนนี้ก็คือ การลากยาวการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทำให้เสียโอกาสไปมาก วันก่อนสภาอุตฯเตรียมประกาศลดกำลังผลิตรถยนต์ลงอีก 5 หมื่นคัน ซึ่งเท่ากับว่าเม็ดเงินที่จะหมุนเวียนในประเทศหายไปอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท
อีสาน-เหนือห่วงธุรกิจพัง
นายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ควรจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด หากเกิดภาวะสุญญากาศทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น อยากได้รัฐบาลที่คำนึงถึงประเทศชาติ คิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยภายในเดือนสิงหาคม 2566
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง จ.อุดรธานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” หากการจัดตั้งรัฐบาลช้าไปมากเท่าไหร่ เงินในระบบเศรษฐกิจจะยิ่งหายไปเรื่อย ๆ ประชาชนจะลำบาก ก้าวไกลก็ดี เพื่อไทยก็ได้ ถ้าทั้งสองพรรคนี้จับมือจัดตั้งรัฐบาลได้คงเป็นส่วนผสมชั้นยอด ส่วนรัฐบาลชุดเก่าที่ผ่านมาแย่ มีสิ่งที่กลัวคือไม่อยากให้มีม็อบ เพราะถ้ามีแล้วคุมไม่อยู่จะทำให้บรรยากาศธุรกิจพังอีก
นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การจัดตั้งรัฐบาลยืดเยื้อก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะฉุดเศรษฐกิจ อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนต่างชาติที่น่าจะชะลอตัว เพราะสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง