ครึ่งปีแรก 2566 จัดตั้งธุรกิจใหม่กว่า 47,286 ราย สูงสุดในรอบ 10 ปี

ก่อสร้าง
ภาพ Pixaby

“จุรินทร์” ชี้ยอดธุรกิจจดทะเบียนใหม่ 6 เดือนแรกปีนี้กว่า 47,286 ราย มูลค่ากว่า 428,000 ล้านบาท บวก 53% สูงสุดในรอบ 10 ปี ธุรกิจตั้งใหม่ 3 อันดับแรก ก่อสร้าง-อสังหาฯ-ร้านอาหาร

วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมิถุนายน 2566 และครึ่งปีแรก 2566 (ม.ค.-มิ.ย. 66) พบว่า ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวน 7,626 ราย ขยายตัว 14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 39,739.72 ล้านบาท เป็นการจัดตั้งสูงสุดในรอบ 10 ปี ตั้งแต่มิถุนายน 2557 และสูงสุดในรอบที่ 10 เป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน 2566 จัดตั้งเพิ่มเป็นผลจาก ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 598 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 591 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 338 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ

ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,960 ราย คิดเป็น 65.04% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,517 ราย คิดเป็น 33.01% และช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 124 ราย คิดเป็น 1.63% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 25 ราย คิดเป็น 0.33% ตามลำดับ

ธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย. 66) มีจำนวน 47,286 ราย เทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 40,301 ราย เพิ่มขึ้น 6,985 ราย คิดเป็น 17.33% สูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2557 โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 3,601 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 3,499 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารจำนวน 2,197 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ

ADVERTISMENT

มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ครึ่งปีแรกปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย. 66) มีจำนวนทั้งสิ้น 428,647.49 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปี 2565 จำนวน 280,604.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148,042.70 ล้านบาท คิดเป็น 53% ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 31,474 ราย คิดเป็น 66.56% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 15,123 ราย คิดเป็น 31.98% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 578 ราย คิดเป็น 12.22% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 111 ราย คิดเป็น 0.23%

ธุรกิจเลิก

สำหรับธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวน 1,659 ราย ขยายตัว 13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 6,295 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ADVERTISMENT

โดยประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 169 ราย คิดเป็น 10% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 91 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 50 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ

และเมื่อแบ่งตามช่วงทุน ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,178 ราย คิดเป็น 71.01% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 405 ราย คิดเป็น 24.41% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 66 ราย คิดเป็น 3.98% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 10 ราย คิดเป็น 0.60% ตามลำดับ

และธุรกิจเลิกประกอบกิจการครึ่งปีแรกปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย. 66) มีจำนวน 7,097 ราย เพิ่มขึ้น 1,088 ราย คิดเป็น 18% โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 49,604.72 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 772 ราย คิดเป็น 11% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 364 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 202 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ

เมื่อแบ่งตามช่วงทุน ช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 4,953 ราย คิดเป็น 69.79% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,821 ราย คิดเป็น 25.66% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 287 ราย คิดเป็น 4.04% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 36 ราย คิดเป็น 0.51% ตามลำดับ

ธุรกิจยังคงอยู่

สำหรับธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ 30 มิถุนายน 2566 ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ มีจำนวน 882,055 ราย มูลค่าทุน 21.41 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,488 ราย คิดเป็น 23.07% บริษัทจำกัด จำนวน 677,156 ราย คิดเป็น 76.77% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,411 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ

และธุรกิจแบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 516,546 ราย คิดเป็น 58.56% รวมมูลค่าทุน 0.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.12% ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 269,896 ราย คิดเป็น 30.60% รวมมูลค่าทุน 0.92 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.31% ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 77,925 ราย คิดเป็น 8.83% รวมมูลค่าทุน 2.13 ล้านล้านบาท คิดเป็น 9.98% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 17,688 ราย คิดเป็น 2.01% รวมมูลค่าทุน 17.89 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.59% ตามลำดับ

จับตาปัจจัยมีผลตั้งธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตถึง 2.5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ครึ่งปีแรก 2565) ได้แก่ ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโต 2.57 เท่า (เพิ่มขึ้น 121 ราย) คาดว่าเป็นผลมาจากธนาคารกลางในหลายประเทศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อนโยบายทางการเงินและค่าเงินของแต่ละประเทศ

ประกอบกับการเดินทางท่องเที่ยวกลับมาคึกคักทำให้ความต้องการแลกเปลี่ยนเงินตราเพิ่มขึ้น และธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืชเติบโต 2.54 เท่า (เพิ่มขึ้น 112 ราย) คาดว่าเป็นผลมาจากนโยบาย BCG Model ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก โดยจะมีการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและเครื่องจักรกลการเกษตรจากกรมการข้าว จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 36,000-43,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 83,000-90,000 ราย