บทเรียน “วัคซีนพิษสุนัขบ้า” ผลประโยชน์ที่แลกด้วยชีวิต

โรคพิษสุนัขบ้า
นับตั้งแต่ต้นปี 2561 มีข่าวเปิดโปงการทุจริตในหลายหน่วยงานของภาครัฐ ล้วนแต่เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดนี้ จนล่าสุดมาถึงวิกฤตการระบาดอย่างรุนแรงของ “โรคพิษสุนัขบ้า” ถึง 50 กว่าจังหวัดทั่วประเทศ เพียง3 เดือนมีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 7 คน

 

ต้นตอใหญ่มาจากการประมูลวัคซีนที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งส่อเค้าลางว่า จะมีความไม่ชอบมาพากล! ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้วัคซีนที่ฉีดไปในสุนัข แมว ไม่ได้ผล ส่งผลปะทุรุนแรงในขณะนี้

ปมฉาวส่อ ขรก.เอี่ยว

หากย้อนรอยปมฉาวที่ปูดขึ้นมา เริ่มต้นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ส่งสัญญาณร้องไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีการตรวจสอบใน 2 ประเด็น 1.กรณีอธิบดีกรมปศุสัตว์ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ? และกรมปศุสัตว์ “ผูกขาด” การซื้อวัคซีนจากบริษัทของภรรยา อดีตรองอธิบดีกรมปศุสัตว์หรือไม่ ?

ทำเอาเก้าอี้ “นายอภัย สุทธิสังข์” อธิบดีกรมปศุสัตว์ สะเทือนและยอมรับว่า “ทราบมานานแล้วว่ามีบริษัทของภรรยาอดีตรองอธิบดีกรมปศุสัตว์เข้าร่วมประมูลขายวัคซีนให้กับกรมปศุสัตว์ ขณะนั้นยังไม่เคยทักท้วงปัญหาจริยธรรมหรือเสี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะในขณะนั้นอดีตรองอธิบดีไม่ได้อยู่ตำแหน่งผู้บริหารและเป็นไปตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างอย่างถูกต้อง กระทั่งขึ้นมานั่งตำแหน่งรองอธิบดี จึงได้ขึ้นบัญชีดำ ห้ามบริษัทดังกล่าวมาประมูลอีก”

แม้การขึ้นบัญชีดำได้ทำมาเป็นปี แต่สถานการณ์การระบาดของโรคมิได้ลดลง ร้อนถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีได้เรียก นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าพบด่วน ในช่วงบ่ายวันที่ 26 มี.ค. 61 จึงเป็นที่มาของ 4 หน่วยงานหลักเพิ่งตื่น ตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกัน

ขณะเดียวกันก็แก้ปัญหาด้วยการให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าตรวจสอบโดย นสพ.จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีปศุสัตว์ เปิดเผยว่า สาเหตุของการแพร่ระบาดโรคพิษสุนัขบ้า

ในปัจจุบัน ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่กรมปศุสัตว์และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ในทุกปี เนื่องจาก ปี 2559 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สั่งระงับและให้มีการตรวจสอบวัคซีน และ อย.ได้มีการเรียกคืนวัคซีนที่ไม่ได้คุณภาพ 3 ล้านโดส

ยันไม่ “ผูกขาด” 5 บริษัท

ขณะที่ปัญหาเรื่องบริษัทวัคซีนนั้นในปี 2560 นสพ.จีระศักดิ์บอกว่า กรมปศุสัตว์ได้ยกเลิกบริษัทผู้ชนะประมูล คือ บริษัท เวทอะกริเทค จำกัด ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ไม่มีหน่วยงานใดออกมายืนยันว่าสุนัขและแมวได้รับการฉีดวัคซีนกี่ตัว มีเพียงตัวเลขสรุปปี 2560 จำนวน 3 ล้านตัวเท่านั้น โดยแบ่งเป็นกรมปศุสัตว์ 9.8 แสนตัว และ อปท.จำนวน 1.9 ล้านตัว

“ปกติได้รับการจัดสรรงบประมาณปีละ 15 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อวัคซีนจำนวน 1 ล้านโดส และที่เหลือจะจัดงบฯลงไปกับการทำหมัน และยืนยันว่าที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ไม่ผูกขาดกับบริษัทที่ประมูลเพียง 5 บริษัท คือ 1.บริษัท เมเรียล (ประเทศไทย) จำกัด 2.บริษัทโซเอทิส (ประเทศไทย) 3.บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด 4.บริษัท เวทอะกริเทค จำกัด และ 5.บริษัท อินเตอร์เวท (ประเทศไทย) ตามที่ถูกกล่าวอ้าง และล่าสุดบริษัทไบเออร์ไทย ซึ่งบริษัทที่ทำสัญญาคือ วิกรมวาณิช (ระบบอีออกชั่น) เป็นผู้แทนจำหน่าย ได้เริ่มส่งมอบวัคซีนไปยังปศุสัตว์ทั้ง 9 เขตทั่วประเทศแล้ว ปริมาณ 200,000 โดส

วัคซีนคน-สัตว์ขาดตลาด

การเรียกเก็บคืนวัคซีนที่ไร้คุณภาพ ประกอบกับการตื่นตระหนกของประชาชนต่อพิษภัยของโรคพิษสุนัขบ้า หลังหลายหน่วยงานเร่งระดมทำการประชาสัมพันธ์ ส่งผลปัจจุบันหลายคลินิกเอกชน ทั้งวัคซีนของคน และสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข และแมว เริ่มเกิดปัญหาขาดตลาด และราคาแพงขึ้นมาทันที อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โดยนายอภัย อธิบดีกรมปศุสัตว์ ให้ข้อมูลว่า ไทยนำเข้าวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าจากผู้ผลิตกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ปริมาณ 10 ล้านโดสต่อปี (1 โดส ฉีดได้ 1 ตัว) เป็นการจัดซื้อของกรมปศุสัตว์ 1 ล้านโดส ส่วนอีก 9 ล้านโดสเป็นของคลินิกเอกชนและโรงพยาบาลสัตว์และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอธิบดีกรมปศุสัตว์ย้ำว่า วัคซีนของกรมได้คุณภาพมาโดยตลอด

ด้านองค์การอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขได้เรียกคืนวัคซีน เพื่อทำลาย จึงไม่มีการซื้อขายกับกรมตั้งแต่ปี 2559 ส่วนสาเหตุการเกิดโรคระบาดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกปีไม่ได้เป็นเรื่องใหม่

“ความจริงแล้วสุนัขและแมวที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า 80% ไม่มีการฉีดวัคซีนมาก่อน ไม่มีการฉีดซ้ำเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเจ้าของเองก็ละเลย ซึ่งทุกคนต้องนำสุนัขมาฉีดปีละ 1 ครั้ง ยืนยันว่ายังไงก็มีเพียงพอ” นายอภัยกล่าว

ขณะที่มีกระแสข่าวว่า บริษัทผู้นำเข้ามีการกักตุนสต๊อกวัคซีน เพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น โดยจะปล่อยขายในช่วงเวลาที่คิดว่าคนต้องใช้มากในปีนี้มาเพิ่มมูลค่า ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาได้มีการจัดซื้อวัคซีนไร้คุณภาพหมดอายุจนเกิดการโรคระบาดหนัก ทุกหน่วยงานยังแบ่งรับแบ่งสู้มาตรการตั้งรับต่อการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น เพราะหลายหน่วยมีการทำงานทับซ้อนทั้งกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมปศุสัตว์ กระทรวงสาธารณสุข

ลุ้นผลสอบวัคซีนฉาว 30 วัน

เวลานี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่ “นายกฤษฎา บุญราช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้สั่งการให้จัดตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง” เรื่องวัคซีนพิษสุนัขบ้าขึ้นมา โดยมี นายสุรพงษ์ เจียสกุล รองปลัดเกษตรฯ เป็นประธาน โดยมีกรรมการมาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ ผู้อำนวยการกองคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายผู้แทนจากสัตวแพทยสภา เป็นต้น

โดยวางกรอบ 1.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่มีครอบครัวข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ เกี่ยวข้องในการจัดซื้อวัคซีนหรือไม่ 2.ตรวจสอบว่าวัคซีนที่นำออกไปฉีดไม่มีคุณภาพ หรือหมดอายุจริงหรือไม่ และ 3.ตรวจสอบขั้นตอนระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาหารือถึงแนวทางแก้ไข และตรวจสอบว่ามีใครได้รับผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยให้ตรวจสอบเอกสารการซื้อวัคซีนย้อนหลัง 10 ปี ระบบควบคุมวัคซีนจากกรมปศุสัตว์ และสรุปผลสอบสวนให้เสร็จภายใน 30 วันนับจากวันที่ 27 มี.ค. 61

“ครั้งนี้ผมได้เรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนทั้งหมด โดยกรณีอธิบดีกรมปศุสัตว์ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ จะต้องทำการสอบสวนก่อน ซึ่งถ้าพบว่าผิดจริงจะมีโทษทั้งทางวินัยและอาญา

ส่วนเรื่องการที่กรมปศุสัตว์ผูกขาดซื้อวัคซีนจากบริษัทของภรรยาอดีตรองอธิบดีกรมปศุสัตว์นั้น ได้สั่งให้ทางนายสุรพงษ์ รองปลัดสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากพบว่าภาครัฐมีความเสียหาย ข้าราชการกระทำความผิดจริงโดยเจตนา หรือเข้าองค์ประกอบมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000-20,000 บาท

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญทุกมาตรการที่รัฐวางกรอบระยะสั้นถึงระยะยาวย่อมมีผลต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาการส่อทุจริตที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าให้จบ ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ในสายตาชาวโลก จึงได้แต่หวังให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไปจากประเทศไทยให้ได้ตามเป้าภายในปี 2563 หรือจะทำได้เร็วกว่าเป้าหมาย…


เพราะโรคพิษสุนัขบ้า เป็นเรื่องความเป็น ความตาย ความหายนะของประชาชนคนไทยทุกเพศทุกวัย !