ภูมิธรรมสางภาพ “อคส.” ชูสร้างความโปร่งใส ประชาชนมั่นใจตรวจสอบได้ ย้ำไม่ล้างท่อพนักงาน-ผู้บริหาร มอบโจทย์ให้เร่งเปลี่ยนผ่านองค์กรให้ทันโลก สร้างรายได้ ลดขาดทุน อคส.อ่วม ยังแบกคดีค้าง-สต๊อกข้าวเก่าอีก 3 หมื่นตัน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากแบ่งงานและรับดูแลองค์การคลังสินค้า (อคส.) ด้วยตัวเอง
เบื้องต้นรับทราบถึงปัญหาที่ผ่านมา ว่ามีหลายเรื่องที่จำเป็นจะต้องไปทำความเข้าใจ อย่างน้อยที่สุดควรจะทำให้องค์กรนี้ที่เคยถูกข้อครหาในด้านการทำงานต่าง ๆ ที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานต่อ และทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น สามารถทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ ว่าเป็นหน่วยงานเพื่อประโยชน์และตรวจสอบได้
“อคส.เป็นองค์กรที่มีปัญหาสะสมมามากพอสมควร และได้เคยถูกนำไปเป็นประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายครั้ง ดังนั้น การผมที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดูแล อคส.ครั้งนี้ ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เอาข้อติติงต่าง ๆ มาดู ว่ามีปัญหาอะไร”
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเข้ามาดูแลในครั้งนี้ไม่ใช่เข้ามาที่จะล้างท่อ แต่เป้าหมายต้องการที่จะทำให้องค์กรมีความโปร่งใส ซึ่งให้ความมั่นใจว่า ไม่ได้ทำให้พนักงาน ข้าราชการ ผู้บริหาร องค์กรมีปัญหา ว่าอะไรที่เป็นปัญหา หรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ทุกฝ่ายก็จะต้องรับผิดชอบ
“ก่อนหน้านี้ผมเคยอยู่กระทรวงคมนาคม เจอองค์กรที่มีปัญหามากมาย ซึ่งผมก็มีกิตติศัพท์เข้าไปยุบหน่วยงาน จากกระแสนั้นพนักงานก็อาจจะกังวลว่าจะมาล้างท่อ แต่ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้เข้ามาตั้งท่าที่จะยุบหน่วยงาน แต่ก็ต้องเคลียร์ปัญหาต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้สาธารณชนได้มีความสบายใจ”
ทั้งนี้ อคส.ถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ก่อตั้งเมื่อปี 2498 สมัยนั้นมีสงคราม อคส.จึงทำหน้าที่เก็บสต๊อกและบริหารจัดการสินค้า แต่ปัจจุบันสถานการณ์ทุกอย่างได้มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งการคิดคำนวณในรูปของสต๊อกและการกระจายสินค้า อีกทั้งในปัจจุบันมีช่องทางทางธุรกิจที่มีความหลากหลาย
ดังนั้น หากหน่วยงานก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลง และยังมีการดำเนินการในลักษณะเดิมต่อไปเรื่อย ๆ จะส่งผลกระทบ ซึ่งหากเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างเดิม โดยอาจจะสามารถใช้รูปแบบต่าง ๆ มาประสานร่วมกันได้
ด้านนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของ อคส.ในปัจจุบันถือว่าดีขึ้นตามลำดับ โดยในการหารายได้จากอดีตที่ขาดทุน 157 ล้าน ในปี 2562 เป็นขาดทุนประมาณ 80 ล้านในปี 2566 รายได้จากคลังสินค้าปัจจุบันก็ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 และจะสร้างสถิติใหม่ในปี 2566
โดยในปี 2565 อคส.มีรายได้ 72.3 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 30 ปี และหากรวมรายได้จากโครงการอื่น ๆ ทำให้ อคส.มีกำไรขั้นต้นในปี 2565 ถึง 81.5 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 20 ปี แต่ภาพรวมในปี 2565 อคส.ยังขาดทุนอยู่ประมาณ 120 ล้านบาท แต่มั่นใจว่าภายในปี 2567 น่าจะกลับมามีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น รวมไปถึงในปี 2566 นี้ด้วย หลังจากที่มีแผนในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนงานด้านคดีความนั้น อคส.ยังมีงานสะสาง โดยเฉพาะคดีฟ้องร้องโครงการจำนำข้าวกว่า 1,143 คดี มีทุนทรัพย์ความเสียหายกว่า 494,200 ล้านบาท ล่าสุดคดีแพ่ง อคส.ชนะ 40 คดี ศาลมีคำพิพากษาให้คู่สัญญาชดใช้ให้ อคส. 2,309 ล้านบาท และแพ้ 30 คดี ศาลพิพากษาให้ อคส.ชดใช้ให้คู่สัญญา 683 ล้านบาท โดยมีส่วนต่างให้ อคส.ได้รับการชดใช้ 1,636 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นรายได้ของรัฐ
แต่ อคส.ได้อุทธรณ์ให้คู่สัญญาจ่ายชดใช้เพิ่มขึ้นอีก ส่วนคดีอาญา 897 คดี อยู่ในชั้นศาล 172 คดี ถึงที่สุดแล้ว 65 คดี อย่างไรก็ตาม อคส.ยังพัวพันคดีแรงงานเพิ่ม จากกรณีถูกพนักงาน อคส.ฟ้องอีกกว่า 30 คดี เรียกได้ว่า อคส.ยังมีคดีความที่ต้องเดินหน้าสะสางและแก้ไขที่ยังไม่หมดเสียที
อย่างไรก็ตาม อคส.ยังมีปัญหาใหม่เพิ่มอีก จากกรณีกรมบัญชีกลางจะมีความเห็นไม่ต่อขยายระยะเวลาการใช้งบฯที่ อคส.ได้รับจัดสรรปีงบฯ 2562 และปีงบฯ 2563 แล้วคงเหลือ 780.26 ล้านบาท ซึ่งต้องนำมาใช้ดำเนินการต่าง ๆ เช่น เป็นค่าธรรมเนียมศาลในการต่อสู้คดีที่ อคส.ฟ้องร้องผู้กระทำผิดในโครงการรับจำนำข้าว
ซึ่งผลจากการไม่สามารถเบิกจ่ายงบฯดังกล่าว ส่งผลให้ อคส.ไม่สามารถอุทธรณ์สู้คดีต่อไปได้ และหาก อคส.หยุดต่อสู้ คงสร้างความเสียหายให้กับรัฐจำนวนมาก และต้องเกิดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐเพิ่มเติมได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ปัจจุบันยังมีข้าวสารในสต๊อกรัฐที่อยู่ในความดูแลของ อคส.อีก 36,285 ตัน โดยจำนวนนี้ 21,272 ตัน เป็นข้าวที่โรงสียึดหน่วง ซึ่งอยู่ระหว่างรออัยการสั่งฟ้อง และร้องขอศาลคุ้มครองชั่วคราวให้โรงสีปล่อยข้าวให้กับผู้ชนะประมูล ส่วนอีก 15,013 ตัน ผู้ซื้อไม่มารับมอบข้าว ซึ่ง อคส.จะนำมาเปิดประมูลขายใหม่ด้วย