ปตท.-กฟผ. อัพเดตพลังงาน “แห่งอนาคต”

พลังงาน ‘แห่งอนาคต’

โจทย์สำคัญของโลก คือ การรักษาอุณหภูมิไม่ให้ขึ้นสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ทำให้ภาคพลังงานและภาคขนส่งซึ่งเป็นภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดถึง 70% ต้องเร่งปรับตัวเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาด แต่ก็ยังอาจจะต้องเผชิญปัญหาเสถียรภาพโจทย์ท้าทายอีกอัน

ซึ่งในเวทีเรื่อง “พลังงานแห่งอนาคต” ในงาน Energy Symposium 2023 จัดโดยกระทรวงพลังงาน ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีการแลกเปลี่ยนเรื่องนี้

ไฮโดรเจน ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า

“ไฮโดรเจน” หนึ่งในพลังงานทางเลือก ที่อาจจะมาเป็นคำตอบของโลกในเป้าหมายเน็ตซีโร่ โดยเฉพาะ “ไฮโดรเจนสีเขียว” จากพลังงานหมุนเวียน 100% ที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

นางสมฤดี ปรีดาพิทักษ์กุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและเทคโนโลยีพลังงานใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไฮโดรเจนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคไฟฟ้า เพราะไฮโดรเจนก็จะเข้ามาตอบโจทย์การเก็บพลังงานหมุนเวียน การนำไฮโดรเจนผสมกับก๊าซธรรมชาติเป็นทางเลือกสำคัญหนึ่ง

อีกยุทธศาสตร์ คือ ภาคขนส่ง โดยเฉพาะรถขนาดใหญ่ ซึ่งไฮโดรเจนใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน และตอบโจทย์รถใหญ่ที่ต้องอาศัยพื้นที่และต้องวิ่งระยะไกล ซึ่ง ปตท.กับสมาคมไฮโดรเจนพยายามจับคู่ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมที่สุด จึงต้องเข้าใจว่าแต่ละ segments ของประเทศมีความต้องการใช้มากน้อยอย่างไร

“เราต้องเตรียมความพร้อมเรื่องไฮโดรเจนได้แล้ว อย่างน้อยต้องมีโปรเจ็กต์เกิดขึ้นและเตรียมพร้อมเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานรองรับ โดย ปตท.ร่วมกับหลายหน่วยงาน วิจัยและพัฒนาระบบสาธิตการใช้ hydrogen ในรถยนต์โดยสารไฟฟ้าที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงมาสร้างกระแสไฟ (FCEV)

ADVERTISMENT

เมื่อเดือนเมษายนปี’66 ปีหน้าก็เตรียมขยายไปที่รถบรรทุก ในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ความร้อน ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) อียู ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน”

โครงการนำร่องไฮโดรเจน

นายนรินทร์ เผ่าวณิช ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า โครงการต้นแบบที่ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ที่ใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานลมไฮบริดแห่งแรกในเอเชีย โดยใช้กระบวนการ electrolyzer เพื่อแยกน้ำกับไฟฟ้า

ADVERTISMENT

แล้วจึงนำไฮโดรเจนที่ได้มาผลิตไฟฟ้าผ่าน fuel cell ได้ 300 กิโลวัตต์ นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาและขยายพื้นที่เพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันยังใช้กังหันลมเพียง 1 ต้น จาก 12 ต้นที่มีอยู่

นอกจากนี้ ยังมีโครงการไฮโดรเจนสีเขียวที่ กฟผ. ร่วมกับ ปตท. และบริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด (ACWA Power) ของซาอุดีอาระเบีย ที่จะผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจาก floating solar เพื่อเป็นโครงการต้นแบบเรื่องนี้ในอนาคต ทั้งยังมีโครงการไฮโดรเจนและแอมโมเนียสะอาดครบวงจรที่ร่วมศึกษาและพัฒนากับพันธมิตรจากญี่ปุ่น

“ไฮโดรเจนเป็นระบบนิเวศที่สำคัญ ต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพราะการพัฒนาโครงการแต่ละโครงการ ถ้าเรามีผู้ใช้หรือมีอุปสงค์ที่ชัดเจน การสนับสนุนโครงการจะทำได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญ รัฐควรสนับสนุน อย่างสหรัฐที่มี Inflation Reduction Act ที่ช่วยหนุนราคาไฮโดรเจนให้ถูกลงสูงถึง 3 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้หันมาใช้งานไฮโดรเจนมากขึ้น”

ตาราง พลังงานอนาคต

CCUS ทางออกของ Net Zero

เทคโนโลยีด้านพลังงานที่กำลังเป็นเทรนด์อีกอย่างคือ เทคโนโลยีการกักเก็บและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน หรือ Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) ที่เป็นเทคโนโลยีที่ตีคู่กันมากับพลังงานไฮโดรเจน ช่วยเปลี่ยนจากไฮโดรเจนสีเทามาเป็นสีฟ้า เป็นทางออกสำหรับอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์

นายดนุวัศ สัมพสระ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายดักจับและกักเก็บคาร์บอน สายงานคาร์บอนและเอนเนอร์ยี่โซลูชั่น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การกักเก็บคาร์บอน(CCS) เป็นเทคโนโลยีที่ภาคปิโตรเลียมสามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดักจับใช้ประโยชน์ได้ อาทิ การเพิ่มศักยภาพและการฟื้นสภาพของปิโตรเลียมจากแหล่งกักเก็บ หรือการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรม

“เราต้องรีบพัฒนาโครงการ CCS ให้เกิดขึ้นไวที่สุด เพราะเป็นโครงการที่มีการลงทุนสูงแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา 1-2 ปี ถ้าเราอยากจะทำตามเป้าหมายที่ในปี 2050 เราตั้งเป้าที่จะกักเก็บคาร์บอนให้ได้ต้อง 40 ล้านตันต่อปี (Mtpa) และในปี 2065 คือ 60 ล้านตันต่อปีให้ได้นั้น เราจะต้องเริ่มตั้งแต่ปี 2030 ภายใต้สมมุติฐานว่าเราจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น 2.5 เท่าทุกปี”

ทั้งนี้ ปตท.สผ.ดำเนินการ CCS อยู่ 2 โครงการ คือ 1) โครงการอาทิตย์ เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีกำลังผลิตประมาณ 280 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเป็นโครงการนำร่องสำหรับประเทศ เพื่อทำโครงการนำร่อง เพราะไม่ต้องลงทุนสูงมากและสามารถเริ่มทำได้เลย และที่สำคัญโครงการอาทิตย์ ถือว่าปลดล็อกภาคเทคนิคของโครงการ Eastern Thailand CCS Hub

“ตอนนี้การออกแบบทางด้านวิศวกรรมจบแล้ว อยู่ระหว่างการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เพราะกำลังพูดคุยกับทางภาครัฐ เพื่อขอ incentives มาสนับสนุนโครงการ เนื่องจากเป็นโครงการที่ไม่ได้มีรายได้และเป็นโครงการนำร่องเพื่อให้ผู้ร่วมทุนสามารถตัดสินใจเดินหน้าได้”

อีกโครงการคือ Eastern Thailand CCS Hub เป็นความร่วมมือในกลุ่มบริษัท ปตท. ที่จะตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในมาบตาพุด เป็นโมเดลแรกที่เราจะขยายขนาดเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมทั้งประเทศ ตอนนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์ ซึ่งใกล้จะจบแล้ว

“CCS ตอบโจทย์ทั้งความกดดันในประเทศและนอกประเทศ ในด้านเทคนิคเราเดินหน้าไปเยอะแล้ว แต่ที่สำคัญตอนนี้คือกฎหมายและนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนควบคู่กันไป เพื่อให้โครงการ CCS เกิดขึ้นได้จริง”

ต่อยอด ด้วย New Business

นายศิริวัฒน์ เจ็ดสี ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมโรงไฟฟ้า กฟผ. กล่าวว่า กระบวนการดักจับและกักเก็บ และใช้ประโยชน์ (utilization) เป็นธุรกิจใหม่ new business กับเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตไฟฟ้า อย่างคอนกรีตบอกซ์ที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นเริ่มต้นวิจัยที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ

“เป้าหมายของ กฟผ. คาดว่าจะเริ่มดำเนินการโครงการนำร่อง CCUS ในโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้ในปี 2030 โดยขนาดของ capture plant อยู่ที่ 2% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่ผลิตในกระบวนการผลิตไฟฟ้า หรือประมาณ 80,000 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (tCO2/y) ใช้เงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท

รวมถึงในปี 2040 เตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้าทดแทนชุดที่ 2 ที่สามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 100% หรือประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอน (tCO2/y) ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี และกำลังอยู่ในกระบวนการสรรหาผู้รับเหมา”