นายกฯเคาะประตูนักลงทุนญี่ปุ่น อุ้มรถสันดาป-ต่อยอด “พลังงานสะอาด”

เศรษฐา พูดแล้วทำ เตรียมออกมาตรการส่งเสริมรถสันดาปให้แข่งขันกับ EV ได้ อุ้มค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นช่วงเปลี่ยนผ่าน เคาะประตูนักธุรกิจ 500 คน ชักจูงลงทุนแลนด์บริดจ์- ซอฟต์พาวเวอร์ โชว์ศักยภาพประเทศไทยพร้อมสู่พลังงานสะอาด ต่อยอดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง Green Hydrogen เดินหน้าขยายเจรจา FTA ทั่วโลก ผู้นำญี่ปุ่นชื่นชมในนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทย เสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เพื่อประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น พร้อมทั้งโรดโชว์เศรษฐกิจประเทศไทยร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และภาคเอกชนของไทย เพื่อเชิญชวนนักธุรกิจมาลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด เช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน รวมถึงอุตสาหกรรมครีเอทีฟ ต่อยอดนโยบาย Soft Power ของไทย

ออกมาตรการส่งเสริมรถสันดาป

วันที่ 15 ธันวาคม 2566 ณ โรงแรม Imperial Hotel Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายเศรษฐา พบหารือกับนายไซโต เค็น (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Ministry of Economic, Trade and Industry : METI)

ทั้งสองฝ่ายยังหารือถึงความร่วมมือด้านยานยนต์ โดยนายกรัฐมนตรีจะพบปะกับผู้ประกอบการยานยนต์ของญี่ปุ่น 7 ราย เพื่อให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปของญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการพัฒนา EV และยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งไทยออกมาตรการใหม่เพื่อส่งเสริมการลงทุนในสาขายานยนต์ หวังว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ICE ของญี่ปุ่นในไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระยะเปลี่ยนผ่าน

จับมือพัฒนาพลังงานสีเขียว

ด้านนายไซโต ชื่นชมในนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทย และขอบคุณที่ไทยดูแลเอกชนญี่ปุ่นที่มาลงทุนในไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยพร้อมสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และยินดีร่วมมือกันในกรอบ Asia Zero-Emission Community (AZEC) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน รวมถึงยังได้เสนอข้อริเริ่มในการจัดตั้งกลไก Energy and Industrial Dialogue เพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งพลังงานสีเขียวกับไทย

ต่อมา นายเศรษฐากล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Thailand-Japan Investment Forum ว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตอันดีและยาวนานกว่า 136 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นทุกมิติ

ข้อแรก ด้านความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยที่มีความผูกพันกันในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับราชวงศ์ รัฐบาล ภาคธุรกิจ ไปจนถึงประชาชน เห็นได้จากจำนวนบริษัทญี่ปุ่นกว่า 6,000 บริษัท และชาวญี่ปุ่นกว่า 80,000 คน ที่อยู่ในไทย ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทยมาโดยตลอด รวมทั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในช่วงระหว่างการประชุม APEC ซึ่งเห็นพ้องร่วมกันว่า ทั้งสองประเทศควรขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น

ชูจุดแข็งไทย เร่งดึงทุนโลก

ข้อที่สอง ด้านโอกาสและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายมิติ ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว โดยมุ่งส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง AI การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

รวมถึงการพัฒนา Startup ให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยความแข็งแกร่งนี้เห็นได้ชัดจากความสามารถของบริษัทใหญ่ ไปจนถึงบริษัทระดับท้องถิ่น ซึ่งมี Know How และมีศักยภาพพร้อมเติบโตไปยังต่างประเทศได้ โดยหวังว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของญี่ปุ่น

ด้านเศรษฐกิจและการค้า รัฐบาลมีมาตรการหลายอย่างที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบ การดึงดูดการท่องเที่ยว การเร่งดึงการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

โดยด้านการค้า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของไทย มีมูลค่าอยู่ที่ 8.7 ล้านล้านเยน คิดเป็นร้อยละ 10 ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งเชื่อในศักยภาพว่าจะสามารถขยายมูลค่าได้มากยิ่งขึ้น และครอบคลุมสินค้าได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่าง ๆ

สนับสนุนรถญี่ปุ่นช่วงเปลี่ยนผ่าน

นายเศรษฐากล่าวถึงด้านการลงทุนว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีบทบาทอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งญี่ปุ่นเป็นชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุดติดต่อกันอย่างยาวนาน โดยช่วง 10 ปีหลัง มีโครงการที่ BOI ส่งเสริมกว่า 4,000 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 6 ล้านล้านเยน ซึ่งของปี 2566 นี้มีกว่า 180 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 180,000 ล้านเยน ซึ่งการลงทุนจากญี่ปุ่นมีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักร และอาหารแปรรูป โดยเป็นเวลากว่า 50 ปี ที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พวกเราไม่ลืม และรัฐบาลไทยพร้อมที่จะช่วยดูแลและสนับสนุนบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นให้แข่งขันและเติบโตได้เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่

ชงลงทุนซอฟต์พาวเวอร์

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุน Soft Power เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยต่อเวทีโลก ซึ่งไทยกำลังผลักดัน Soft Power สู่ระดับสากล ด้วยการทูตเชิงวัฒนธรรม การยกระดับและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย สร้าง 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ พัฒนาคอนเทนต์ผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม และส่งเสริมการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยไปต่อยอดให้แพร่หลาย

จึงถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุน ต่อยอดทรัพยากรของไทยในการพัฒนาเกม ภาพยนตร์ หรือแอนิเมชั่น ซึ่งเชื่อมั่นว่าความพร้อมด้าน Creative Industry ของไทยไม่เป็นรองใคร พิสูจน์ได้โดยรางวัลต่าง ๆ ทั่วโลกที่สร้างด้วยฝีมือคนไทย

ต่อยอดพลังงานไฮโดรเจน

ด้านอุตสาหกรรมพลังงาน ไทยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ขอเชิญชวนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ไปด้วยกัน โดยประเทศไทยมีความพร้อมด้านพลังงานสะอาด (Clean Energy) และกำลังต่อยอดอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น Green Hydrogen ที่จะกลายเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต

ขายโปรเจ็กต์แลนด์บริดจ์

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงข้อที่สาม ที่เป็นแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของไทย รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ ยกระดับระบบคมนาคมขนส่ง โดยมีหลายภาคส่วนที่มีความร่วมมือกับทางญี่ปุ่น ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

ขณะนี้รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะผลักดันโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มูลค่าเงินลงทุนเบื้องต้นกว่า 4 ล้านล้านเยน เพื่อสร้างเส้นทางการค้าการขนส่งใหม่ของโลกที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ด้วยท่าเรือ ระบบราง และระบบถนน ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาคและระดับโลก

จึงขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมศึกษาและลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ เสริมสร้างความเชื่อมโยงและ Supply Chain ในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“รัฐบาลมุ่งมั่นจะยกระดับเศรษฐกิจ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าขยายการเจรจา FTA กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และเร่งปรับปรุงบริการภาครัฐเพื่อทำให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ รายสำคัญของไทย ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

ไทยพร้อมสนับสนุนการลงทุนจากญี่ปุ่นทั้งรายเดิมและรายใหม่ และพร้อมร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นในการยกระดับอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อความก้าวหน้าของทั้งสองประเทศต่อไป” นายเศรษฐากล่าว

ดึง Mitsui เป็น HQ ในไทย

จากนั้น นายเศรษฐาพบหารือกับผู้บริหาร บริษัท Mitsui & Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัท Trading รายใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของญี่ปุ่น ซึ่งมีรูปแบบธุรกิจมุ่งเน้นการพัฒนา 6 สาขา และแบ่งการบริหารงานเป็น 7 สาขา โดยรูปแบบธุรกิจมุ่งเน้นที่การเติบโตผ่านการค้า การบริหารธุรกิจ และการพัฒนาโครงการจากประสบการณ์ในสาขาต่าง ๆ ร่วมกับเครือข่ายทั่วโลก

โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงโอกาสร่วมมือทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาด เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมของประเทศไทยในอนาคต และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายลดคาร์บอน Decarbonisation ในการคมนาคมขนส่งของรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนบริษัท Mitsui ให้มาเปิดสำนักงานใหญ่ของภูมิภาคในไทย

นอกจากนี้ นายเศรษฐาและคณะยังได้พบกับผู้บริหารค่ายรถยนต์ที่ลงทุนในประเทศไทย ประกอบด้วย Mitsubishi Motors Corporation, Isuzu Motors Ltd., Nissan Motor Corporation, Honda Motor Ltd.

ค่ายรถตอบรับพลังงานสะอาด

นายที. ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ อีซูซุได้ร่วมมือกับ ปตท. และ มิตซูบิชิ โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และนายเอส. วากะบายาชิ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และโมบิลิตี้ บริษัท มิตซูบิตชิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ลงนาม MOU ผุดโปรเจ็กต์มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

โครงการดังกล่าวประกอบด้วยการทดสอบรถบรรทุกไฟฟ้าอีซูซุวิ่งใช้งานจริง โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% ผ่านระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบชาร์จ และ EV อีโคซิสเต็มของ ปตท. นอกจากนี้ ยังมีโครงการลดคาร์บอนฟุตพรินต์สำหรับรถยนต์ดีเซล โดยการทดสอบใช้ HVO (Hydro Vegetable Oil) หรือน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว รวมทั้งร่วมกับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) ศึกษาวิจัยน้ำมัน e-Fuels ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสามารถใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ฮอนด้าเปิดไลน์ Honda e:N1

ด้าน นายฮิเดะโอะ คาวาซากะ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดสายการผลิต Honda e:N1 ยนตรกรรมเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ณ โรงงานฮอนด้า สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปราจีนบุรี โดยฮอนด้านับเป็นแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นหลัก ที่เริ่มเดินสายการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยระดับโลกของฮอนด้า และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินธุรกิจในไทย