PTG ปักหมุดปี 70 ดันส่วนแบ่งตลาดน้ำมันโต 25%

พิทักษ์ รัชกิจประการ

PTG ปี 66 ยอดขายน้ำมันทุบสถิติ 5,960 ล้านลิตร ปักหมุดปี 70 ขยายพอร์ต Oil & Nonoil ดันมาร์เก็ตแชร์น้ำมัน 25% ขยายฐานสมาชิก Max Card แตะ 30 ล้านราย พันธุ์ไทย 5,000 สาขา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยในงาน “PTG Business Outlook 2024 : Drive for Tomorrow, The Dynamism of Speed” ว่า

ปี 2566 เป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจในเครือ PTG ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเห็นได้จากปี 2566 ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการเติบโตเล็กน้อยเพียง 2.2% แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันของ PTG ผ่านสถานีบริการกลับเติบโตอย่างโดดเด่นถึง 13.3%

ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของประเทศถึง 6 เท่า และโตในทุกช่องทางรวม 12.1% ด้วยยอดขาย 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดได้อีกครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และเป็นครั้งแรกที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้มากกว่า 20% โดยในปี 2570 ตั้งเป้าที่จะขยายส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากกว่า 25%

ส่วนธุรกิจ Nonoil มีรายได้เติบโต 44.4% อยู่ที่ 13,688 ล้านบาท โดยธุรกิจก๊าซ LPG เติบโตสูงสุดอย่างต่อเนื่องด้วยจำนวน 634 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 27.7% จากปีก่อน และมีการขยายจุดบริการก๊าซ LPG ในครัวเรือนจำนวน 332 จุด ขณะที่ปริมาณการขายเติบโตถึง 48.0%

ส่วนธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย มีรายได้เพิ่มขึ้น 54.1% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนสาขาอยู่ที่ 882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขาจากสิ้นปีที่ผ่านมา

ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีสาขาของธุรกิจ Nonoil รวมทั้งสิ้น 2,087 สาขา เพิ่มขึ้น 561 สาขา หรือเติบโต 36.8% และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Nonoil เป็นไปตามเป้าหมายที่ 21.2% โดยตั้งเป้าว่า ภายในปี 2573 ยอดขายของธุรกิจ Nonoil จะมีกำไรมากกว่าธุรกิจ Oil เนื่องจากธุรกิจ Oil ในปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวนและนโยบายของภาครัฐ อาทิ การเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ค่าการตลาดที่ไม่ตรงกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

นายพิทักษ์ยังกล่าวอีกว่า ภายในปี 2570 บริษัทตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) Expansion & Renovation 2) Service Innovation 3) Data Optimization พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิกภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่ 21.5 ล้านสมาชิก

โดยร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายสาขาร้านในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันเป็นจำนวนรวม 5,000 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายในปี 2570 จากปัจจุบันที่ 882 สาขา รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ลาว พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

ขณะที่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) ได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 โดยจะนำจุดแข็งของบริษัทที่มีสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้านจุดของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit

โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงานและผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย และมั่นใจว่า ปี 2567 จะมีมาร์เก็ตแชร์โตเป็น 9-10% และก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

PTG ลุยธุรกิจพลังงานไฟฟ้า-พลังงานขยะ

ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจของ PTG หรือ Max World ให้แข็งแกร่งมากขึ้น อาทิ ธุรกิจตัวกลางด้านการขนส่ง และโลจิสติกส์ในรูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่าน บริษัท แมกซ์ เวนเจอร์ส จำกัด

ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTG ที่เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ทรีซิกซ์ตี้ ซัพพลายเชน จำกัด ผู้ให้บริการ “360TRUCK” ยอดขายสินค้าออนไลน์ (Gross Merchandise Volume : GMV) ปี 2566 สูงกว่า 1,100 ล้านบาท หรือธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง โดยซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไพศาล แคปปิตอล จำกัด จำนวน 825 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 33.33% เพื่อสร้างการเติบโต สร้างโอกาสธุรกิจร่วมกัน และต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจของบริษัท

อีกทั้งบริษัทได้ร่วมมือกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ภายในสถานีบริการน้ำมัน PT ภายใต้นามว่า Elex by EGAT PT ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT ไปแล้ว จำนวน 49 สถานี และมีแผนจะติดตั้งเป็น 262 สถานีในปี 2567 และเป็น 712 สถานีในปี 2570 เพื่อให้ครอบคลุมตามพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ เพราะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากความเสถียรของเครื่องชาร์จ EV และการใช้งาน อีกทั้งยังสามารถเข้ามาใช้บริการต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟพันธุ์ไทย หรือร้านสะดวกซื้อ Max Mart ภายในปั๊ม PT ระหว่างรอชาร์จได้อีกด้วย

ส่วนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ที่ลงทุนผ่าน บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด (PTGGE) โดยซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private PPA ปัจจุบันมีการติดตั้งไปแล้วบนภายใน 37 สถานีบริการน้ำมัน ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า 1 ล้านหน่วยต่อปี และลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มสถานีดังกล่าวลงได้สูงถึง 15% รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

โดยตั้งเป้าขยายพอร์ต Solar Rooftop รูปแบบ Private PPA อีก 28.67 MW บนในสถานีบริการน้ำมันรวม 1,200 สถานี โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากกว่า 33 ล้านหน่วยต่อปี คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 13,420 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.9 ล้านต้น

นอกจากนี้ยังเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ในครั้งแรกสัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท และในอนาคต PTG จะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์เพิ่มอีกในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการตลอดโครงการทั้งสิ้น 400 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ

โดยไทยไพบูลย์มีจุดเด่นที่การผลิต RDF อยู่ที่ 1,500 ตันต่อวัน และมีสัญญากับหน่วยงานท้องถิ่น มากกว่า 20 สัญญา หรือมีขยะมูลฝอยมากกว่า 7 ล้านตัน คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 5,000,000 ตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกป่า 555 ล้านต้น

ภาพรวมปี 67 เติบโตต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2567 ได้ประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 10-12% จากปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยเฉพาะการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ตลอดจนการยกระดับการบริการและสถานีบริการน้ำมันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้ากลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ Max Card Plus

โดยปี 2567 บริษัทมีงบฯลงทุนอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจ Oil และธุรกิจ Nonoil

ในธุรกิจ Oil วางเป้าการขยายสถานีบริการในปี 2567 ไว้ที่จำนวน 2,251 สถานีบริการและปรับปรุงสถานีบริการให้มีความทันสมัย

ด้านธุรกิจ Nonoil ยังคงวางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ในปีนี้ ไว้ที่ 30-40% ซึ่งการเติบโตมาจาก 1) กลุ่ม Auto LPG ด้วยการยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform”

รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิก บัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า 2) กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้า และ 3) เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566

ส่วนธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง (CBD : Central Business District) หัวเมืองตามจังหวัดต่าง ๆ  ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย

ซึ่งในปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขาจำนวนกว่า 882 สาขา โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 400 สาขาทั่วประเทศไทย เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยรวมจำนวนกว่า 1,300 สาขา ภายในปี 2567 นี้

ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ Max World บริษัทยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้วางเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Nonoil อื่น ๆ เป็น 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 จุด โดยมีการขยายจำนวนหลัก ๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT  เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ศูนย์บริการ และซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น