PTG รุกธุรกิจเชื้อเพลิงขยะทุ่มเกือบ 600 ล้าน ซื้อหุ้นเพิ่มทุน “ไทยไพบูลย์” ขยาย Non-Oil

PTG รุกธุรกิจเชื้อเพลิงขยะทุ่มเกือบ 600 ล้าน

PTG ผนึก “ไทยไพบูลย์” รุกธุรกิจบริหารจัดการและผลิตเชื้อเพลิงขยะ เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนมูลค่ารวมประมาณ 500-600 ล้านบาท สัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% รองรับแผน 5 ปี ขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ด้าน Renewable Energy ให้เติบโตอย่างยั่งยืน

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับบริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของไทยไพบูลย์ฯ ในครั้งแรกสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% คิดเป็นมูลค่าลงทุนไม่เกิน 103 ล้านบาท

ซึ่งในอนาคต PTG จะมีสิทธิเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของไทยไพบูลย์ฯ เพื่อถือหุ้นในสัดส่วนสูงสุดไม่เกิน 33.33% คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณการ ตลอดโครงการรวมเป็น 500-600 ล้านบาท ภายในปี 2568 เพื่อขยายการลงทุน ธุรกิจบริหารจัดการขยะและผลิตเชื้อเพลิงขยะ รวมถึงรองรับแผนธุรกิจ 5 ปีเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ด้าน Renewable Energy ให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริม และผลักดันให้เกิดการสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด ในการดำเนินธุรกิจบริหารจัดการและผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) เพื่อสนับสนุน แผนธุรกิจ 5 ปีของบริษัทที่ต้องการขยายพอร์ตธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโตในอนาคต

โดยธุรกิจ Renewable Energy เป็น 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่ PTG ตั้งเป้าที่จะเข้าลงทุน เพื่อให้ธุรกิจ Renewable Energy เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของบริษัท รวมถึงต่อยอดและขยายธุรกิจจากที่ PTG ได้เข้าสู่ธุรกิจบริหาร และจัดการขยะในปี 2565 โดยเป็นคู่สัญญากับเทศบาลเมืองบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สำหรับการก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากชุมชน รวมถึงมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 4.5 MW

“บริษัทเล็งเห็นว่าการร่วมกับไทยไพบูลย์ฯ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยจากชุมชน อย่างครบวงจร และผลิตเชื้อเพลิงขยะ (RDF) สำหรับทดแทนเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global) Warming) ไทยไพบูลย์ฯมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับต้น ๆ ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ขายทีมผู้บริหารมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ

และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่อยากเห็นชุมชนและคนในสังคมมีชีวิตที่ อยู่ดี มีสุข จากการบริหารจัดการขยะได้อย่างถูกวิธี ส่งผลให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้มีความเป็นอยู่อย่างถูกสุขลักษณะ และเป็นช่องทางการเติบโตในอนาคตจากการต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจบริหารจัดการขยะรีไซเคิล และธุรกิจคาร์บอนเครดิตได้” นายพิทักษ์กล่าว

ด้านนายไพบูลย์ คุ้มคำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ PTG ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้นำด้านบริการในธุรกิจพลังงานครบวงจรของประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันและส่งเสริมการจัดการขยะ

ที่สำคัญคือ มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งมั่นใจว่าความร่วมมือของทั้ง 2 บริษัทในครั้งนี้จะถือเป็นองค์กรต้นแบบที่ช่วยผลักดันให้เกิดการ จัดการ และสนับสนุน สร้างความร่วมมือในทุกภาคส่วนในการแยกขยะใช้แล้วอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า ส่งผลดีต่อสังคม สิ่งแวดล้อมและโลกได้ในระยะยาว

“ใน 3 ปีข้างหน้ามีเป้าหมายผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ตัน เป็น 3,000 ตัน และมีโรงคัดแยกขยะ 30 แห่งทั่วประเทศ”

ทั้งนี้ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ จำกัด อยู่ในกลุ่มผู้นำในการประกอบธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ ขยะมูลฝอยจากชุมชน ขยะฝังกลบอย่างครบวงจร และผลิตเชื้อเพลิงขยะ โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ผลิต ติดตั้งระบบคัดแยกขยะ การบริหารจัดการบ่อขยะ การผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel : RDF) รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการบริหารจัดการขยะที่มีประสบการณ์มากว่า 21 ปี

นอกจากนี้ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกด้าน พลังงานสะอาด การรักษาสิ่งแวดล้อม และการนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ธุรกิจได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ รวมถึงมีความต้องการเกิดขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ปริมาณขยะมูลฝอยที่ยังไม่ได้รับการกำจัดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณประชากรภายในประเทศ นักท่องเที่ยวต่างประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัท ณ ปัจจุบัน มีรายได้ต่อปีกว่า 800 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักมาจากการขายเชื้อเพลิงขยะ (RDF) และจากการบริหารจัดการขยะ