เปิดรายชื่อ 52 สมาคม ร่วมค้านขึ้นค่าแรง 400 บาท

หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภาคเอกชน 52 สมาคม คัดค้านนโยบาย ค่าแรงขั้นต่ำ  400 บาททั่วประเทศ เสนอ 4 ข้อ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 13 พ.ค. ขอพบ รมว.แรงงาน ก่อนประชุมไตรภาคี 14 พ.ค. 67

วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ และสมาคมการค้า 52 สมาคม กลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น มีความเข้าใจนโยบายและเป้าหมายการปรับอัตราค่าจ้างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยในประเทศไทยของรัฐบาล

พจน์ อร่ามวัฒนานนท์
พจน์ อร่ามวัฒนานนท์

แต่อย่างไรก็ดี นโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยจะให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เราขอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศดังกล่าว

ทั้งนี้ ภาคเอกชนยังคงสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณานโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี ตามหลักกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ตามที่คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ต้องศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น ควรคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ความสามารถของประเภทธุรกิจ

โดยการปรับค่าแรงจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะบางจังหวัดจะขึ้นไปถึง 21% ดังนั้นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงถึงตามที่กฎหมายกำหนด จะทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการหรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานในที่สุด

Advertisment

ดังนั้น การพิจารณาค่าแรงต้องพิจารณาหลายด้านผ่านระบบและกลไกการพิจารณาศึกษาของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เพื่อปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีให้เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี การที่รัฐบาลจะปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ซึ่งเกินกว่าพื้นฐานสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคม จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยต้องยอมรับว่าแต่ละจังหวัด และแต่ละประเภทธุรกิจ มีความพร้อมของสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการขนส่ง ต้นทุนการบริการ และต้นทุนการจ้างงานทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะภาคเกษตร ภาคการค้าและบริการ ภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากผู้ประกอบการจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

ดังนั้น การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงตามที่กฎหมายกำหนดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ หรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอด ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

Advertisment

อีกทั้งการปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจถึงต้นทุนของการทำธุรกิจและนโยบายภาครัฐ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ยังมีปัญหาจากปัจจัยหลายประการที่มีความผันผวน อาทิ ค่าเงินบาท ราคาพลังงาน มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ และสงครามการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและความน่าสนใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างชัดเจน

หอการค้าทั่วประเทศชักธงคัดค้าน 400 บาท

ในวันนี้หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขอนำเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล ดังนี้

1) หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น เห็นด้วยกับการมุ่งมั่นตั้งใจยกระดับรายได้เพื่อแรงงานไทยในประเทศไทยและวิถีชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น แต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ส่วนการยกระดับรายได้ลูกจ้างให้สูงขึ้น ก็สามารถทำได้โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ซึ่งกฎหมายบัญญัติกำหนดไว้แล้วเช่นกัน

2) ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกทั้งปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567 ไปแล้ว 2 ครั้ง จึงไม่ควรมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีเป็นครั้งที่ 3

3) อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ แต่การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงาน ให้ความสำคัญกับการ Upskill & Reskill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)

4) การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจก่อนปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจดังกล่าว

นายพจน์กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลยืนยันที่จะให้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัวเลขการปรับที่เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอดจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ว่ามีความยุติธรรมกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งนำไปสู่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแบบยั่งยืน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ตามมาในอนาคต ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ผ่านกลไกการทำงานร่วมกันของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดและคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี)

ภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จำเป็นที่จะต้องรักษาสิทธิในการดำรงไว้ของหลักนิติธรรม (The Rule of Law) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกภาคเอกชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวต่อไป

100 สมาคมการค้า ขอพบ รมว.แรงงาน

รายงานข่าวระบุว่า ตัวแทนภาคเอกชนหอการค้าและสภาหอการค้าไทย ซึ่งคาดว่าจะมีร่วม 100 สมาคมการค้าที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง จะเข้าพบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เพื่อหารือประเด็นดังกล่าว ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี ที่ประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 นี้

ควรปรับตามกลไก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า การปรับค่าจ้างครั้งนี้ คือ การกระชากด้วยนโยบายจากการหาเสียงไม่ได้ปรับขึ้นตามความจำเป็น โดยปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยเติบโตเพียงแค่ 1.9% และเมื่อมองย้อนหลังไป 3 ปี เศรษฐกิจไทยเติบโตแต่ 6% ซึ่งจากผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าการปรับค่าจ้างแรงงาน ควรปรับตามกลไก และตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น การปรับครั้งนี้จะทำให้การจ้างงานไม่สดใส ผู้ประกอบการจะหันไปใช้เครื่องจักรมากขึ้นในอนาคต

เปิดชื่อ 52 สมาคม

      1. สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย
      2. สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย
      3. สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย
      4. สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย
      5. สมาคมยางพาราไทย
      6. สมาคมน้ำยางเข้มข้นไทย
      7. สมาคมธุรกิจไม้สมาคมเฟอร์นิเจอร์ไทย
      8. สมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์เด็กไทย
      9. สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชนูปถัมภ์
      10. สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
      11. สมาคมการค้านวัตกรรมการพิมพ์ไทย
      12. สมาคมโรงแรมไทย
      13. สมาคมผู้ค้าปลีกไทย
      14. สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย
      15. สมาคมหินอ่อนและแกรนิตไทย
      16. สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
      17. สมาคมอาคารชุดไทย
      18. สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
      19. สมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพลังไทย
      20. สมาคมผู้ผลิตสีไทย
      21. สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย
      22. สมาคมการค้าเครื่องกีฬา
      23. สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งไทย
      24. สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
      25. สมาคมตลาดสดไทย
      26. สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป
      27. สมาคมกุ้งไทย
      28. สมาคมอุตสาหกรรมนมและอาหาร
      29. สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย
      30. สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน
      31. สมาคมภัตตาคารไทย
      32. สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย
      33. สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน
      34. สมาคมบรรจุภัณฑ์ไทย
      35. สภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย
      36. สมาคมรักษาความปลอดภัยภาคพื้นเอเชีย
      37. สมาคมสภารักษาความปลอดภัย
      38. สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย
      39. สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัยแห่งประเทศไทย
      40. สมาคมสหพันธ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัย
      41. สมาคมผู้ประกอบการวิชาชีพรักษาความปลอดภัยภาคเหนือ
      42. สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยภาคเหนือ
      43. สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัยภาคตะวันออก
      44. สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยภาคอีสาน
      45. สมาคมอารักขาบุคคลสำคัญ
      46. สมาคมบริหารงานรักษาความปลอดภัยไทย
      47. สมาคมการค้าธุรกิจคุ้มกันภัย
      48. สหพันธ์นายจ้างวิชาชีพรักษาความปลอดภัย
      49. ชมรมครูฝึกรักษาความปลอดภัยไทย
      50. ชมรมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
      51. ชมรมบริษัทรักษาความปลอดภัยพันธมิตรภาคใต้
      52. ชมรมพันธมิตรธุรกิจรักษาความปลอดภัย กลุ่มพัฒนาวิชาชีพรักษาความปลอดภัย