2 เดือนแรกปี 2567 ใช้ FTA ส่งออกพุ่ง 12,000 ล้านเหรียญ ‘อาเซียน’ ครองแชมป์

FTA ส่งออก

กรมการค้าต่างประเทศ เผย การใช้สิทธิ FTA 2 เดือนแรก ปี 2567 พุ่ง 12,000.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 80% ตลาดอาเซียนครองอันดับหนึ่ง สินค้ายานยนต์-ผลิตภัณฑ์ยางมาแรง

วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ว่า มีการส่งออกภายใต้ความตกลง FTA มีมูลค่ารวม 12,000.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิรวม 79.75% โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA)  สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 4,821.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 76%

อันดับสองเป็นการใช้สิทธิ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 2,611.41 ดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 85.35% อันดับสาม ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,229.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 64.83% อันดับสี่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,048.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 78.97% และอันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 858.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 70.30%

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกภายใต้ FTA สูงที่สุด 5 อันดับแรก คือ

Advertisment

(1) ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน

5 ตัน ภายใต้ความตกลงอาเซียน มูลค่า 350.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

(2) ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน มูลค่า 322.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

(3) รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ

Advertisment

ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย มูลค่า 306.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

(4) เนื้อไก่และเครื่องในไก่ที่ปรุงแต่ง ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น มูลค่า 232.46

ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ (5) พลอยและรูปพรรณ ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย มูลค่า 44.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปัจจุบันประเทศไทยมี FTA แล้ว 14 ฉบับ กับคู่ภาคี 18 ประเทศ แบ่งออกเป็นความตกลงทวิภาคี

6 ฉบับ และความตกลงพหุภาคีในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน 8 ฉบับ โดย FTA ฉบับล่าสุด ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมลงนาม เมื่อวันที่

3 กุมภาพันธ์ 2567 คือ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ศรีลังกา ซึ่งถือเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 และคาดว่าจะผลักดันให้มีผลบังคับใช้ได้ภายใน

ปี 2567

นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ในระหว่างการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก อาทิ ความตกลง การค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA ซึ่งประกอบด้วย ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์) ไทย-เกาหลี และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา

จัดสัมมนาฟังการใช้ FTA

กรมการค้าต่างประเทศขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA เพราะจะทำให้มีแต้มต่อทางการค้า ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ๆ มากขึ้น โดยกรมได้ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการอบรมสัมมนาในเรื่องการส่งออก โดยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ภายใต้ FTA มาโดยตลอด

และในปี 2567 กรมมีการจัดงานสัมมนาอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน รวม 3 ครั้ง ภายใต้หัวข้อ “FAST, FUTURE, FREE TRADE ขยายโอกาส SME ไทย ก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้า” โดยการจัดงานสัมมนาครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 8 และ 9 พฤษภาคม 2567 ที่จังหวัดชลบุรี ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก ซึ่งกำหนดการจัดสัมมนาครั้งที่ 2 จะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรม ราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จังหวัดขอนแก่น และครั้งที่ 3 วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ณ โรงแรม คุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่

ในช่วงครึ่งปีหลัง กรมมีกำหนดจัดสัมมนาอีก 2 ครั้งในจังหวัดสงขลา และนครพนม จึงอยากขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานสัมมนาเพื่อรับความรู้ดี ๆ จากทางกรมการค้าต่างประเทศ โดยติดตามความคืบหน้าและสมัครเข้าร่วมงานสัมมนาได้ทางเว็บไซต์กรม และ facebook “กรมการค้าต่างประเทศ DFT”

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศพร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือโทร.สายด่วน 1385 รวมถึงไลน์แอปพลิเคชั่น ชื่อบัญชี “@gsp_helper” กองสิทธิประโยชน์ทางการค้า