EEC เผยกลางปีมีข่าวดี 2 โครงการ ไฮสปีดเทรน-อู่ตะเภาสร้างแน่พร้อมออก NTP

จุฬา สุขมานพ

เลขาฯ EEC มั่นใจทั้ง 2 โครงการ สนามบินอู่ตะเภา รันเวย์ที่ 2-รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สร้างแน่กลางปี 2568 รอเข้า ครม. ออก NTP เปิดแผนดึงการลงทุนระลอกใหม่ต้องชี้เป้าพื้นที่ให้ชัด เตรียมแรงงาน ขนส่งต้องพร้อม แก้กฎระเบียบ Ease of Doing Business สำคัญที่สุด โชว์ 7 ปีเม็ดเงินพุ่ง 3.4 แสนล้านบาท จีนมาที่ 1

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) กล่าวในงานสัมมนา Matichon Leadership Forum 2025 : Trust Thailand เชื่อมั่นประเทศไทย ว่า กลางปี 2568 จะมีข่าวดี 2 เรื่องคือ 1.การก่อสร้างโครงสร้างสนามบินอู่ตะเภา ในส่วนของรันเวย์ที่ 2 และ 2.การก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) หรือไฮสปีดเทรน ซึ่งคาดว่าทั้ง 2 โครงการนี้จะสามารถออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ได้ในช่วงเดือนเมษายน 2568 โดยสนามบินอู่ตะเภาไม่จำเป็นต้องรอไฮสปีดเทรน

สำหรับการลงทุนในปี 2568 นั้น EEC ยังคงเชื่อว่าไทยจะได้อานิสงส์อย่างมากจากการย้ายฐานการผลิตของจีน ซึ่งประเทศไทยจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือสำคัญในการดึงการลงทุนเข้ามาและรักษานักลงทุนรายเก่าเอาไว้ ไม่ให้หนีประเทศไทยไปลงทุนที่อื่น ซึ่งยอมรับว่าขณะนี้ประเทศสิงคโปร์และเวียดนามถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว

ดังนั้นการที่ไทยจะได้แต้มต่อเครื่องมือสำคัญต้องมีคือ พื้นที่เป้าหมายที่ชัดเจน แรงงานที่พร้อมในอุตสาหกรรมไฮเทค เช่น วิศวกรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และแรงงานด้านบริการ ระบบการขนส่งซึ่งรวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค นอกจากนี้ ไทยจะต้องปรับกฎระเบียบ ขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น หรือการใช้ Ease of Doing Business

สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายปี 2568 ยังคงเน้นไปที่ 12 อุตสาหกรรม (S-curve) และเชื่อว่าจะเห็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ การแพทย์ BCG และบริการ เข้ามามากที่สุดเช่นเดียวกับปีก่อน โดยสิทธิประโยชน์ที่ให้จะเป็นรูปแบบการเจรจาต่อรองรายโครงการ ซึ่งจะผ่านการตอบ 13 ข้อของ EEC ก่อนเพื่อที่ระบุถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับชัดเจน

ทั้งนี้ ตลอดการมี EEC เกิดขึ้น 7 ปีที่ผ่านมา 2561-2568 พบว่ามีการลงทุนใน EEC ถึง 374,281 ล้านบาท สัดส่วน 44% ของการลงทุนทั้งประเทศ เป็นนักลงทุนไทย 33% เป็นต่างชาติ 67% ส่วนใหญ่เป็นประเทศจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง สหรัฐ

ADVERTISMENT